วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

หยุดใช้กระดาษและ Spreadsheet แล้วมาใช้ Web App ที่พัฒนาเองบันทึกข้อมูล (ทำเองได้ ใช้ฟรี ยาวๆ!)

Web App จัดการข้อมูลการทำงาน ด้วย HTML/JS + Firebase (ประหยัดและใช้ฟรีได้ยาวๆ!)

ในฐานะที่ปรึกษาในอุตสาหกรรม ผมพบว่าความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SME หรือแม้กระทั่งรายใหญ่ๆ ก็คือ การจัดการข้อมูล ซึ่งมักติดอยู่กับระบบแบบฟอร์มที่ต้องบันทึกมากมาย โดยส่วนใหญ่ที่เห็นก็ต้องบันทึกลงกระดาษและนำไปป้อนอีกครั้งลง Excel แล้วก็นำไปทำรายงานสำหรับการประชุมหรือนำเสนอผู้บริหาร ซึ่ง Pain Point ที่พบ คือ ขาดความรวดเร็ว, เกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย และไม่สามารถทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ได้ อยากแก้ไข ก็ต้องเริ่มทำใหม่ตั้งแต่แรก

แต่วันนี้มีมีทางออกให้: ก็คือการสร้าง Web Application แบบ Client-Side Only ที่ใช้ HTML/CSS/JavaScript ผสานกับ Firebase Realtime Database ซึ่งเป็นแนวทางที่ช่วยให้คุณได้ระบบที่รวดเร็ว, ใช้งานง่าย, และ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย Server/Backend ยิ่งเดี๋ยวนี้มี AI ช่วย ติดปัญหาปุ๊บ มีผู้ช่วยคิดช่วยทำทันที ไม่อู้ ไม่บ่น ไม่น้อยใจ (เอ๊ะ!แต่บางทีก็อาจมีบ้าง 555)


สถาปัตยกรรม (Architecture) และการจัดโครงสร้างข้อมูล 

  • เทคโนโลยีที่ผมเลือกใช้:

    • Frontend: HTML, CSS, JavaScript (ใช้ Font Sarabun เพื่อรองรับภาษาไทย)

    • Backend: Firebase Realtime Database (RTDB) - ใช้ฟรีด้วย เก็บข้อมูลได้ 1 GB

    • Hosting และ Deployment: ระบบนี้ถูกออกแบบให้ติดตั้งง่ายและฟรี โดยใช้ GitHub สำหรับเก็บโค้ด และ Netlify ในการ Deploy ไฟล์ HTML/JS เหล่านี้ ซึ่งเป็น Workflow ที่รวดเร็วและเป็นอัตโนมัติ

  • หัวใจสำคัญ : การจัด Node ข้อมูล (ถ้าใน Excel ก็คือ Sheet)อย่างมีระเบียบ (Schema-less ≠ Brain-less):

    • Transaction Data (ข้อมูลหลัก): แยกเป็น ReceiptsRM (สำหรับการรับวัตถุดิบ) และ ReceiptsFG (สำหรับการรับสินค้าที่ผลิตเสร็จ) – โดยข้อมูลที่บันทึกจะเพิ่มขึ้นตลอดเวลา

    • Master Data (ข้อมูลอ้างอิง): แยกเป็น DB_RMDB_TruckDB_EmployeeDB_Product,   DB_Locationเป็นข้อมูลคงที่ จำลองให้เป็นฐานข้อมูล นามสกุล .csv แล้ว upload เข้า Firebase เพื่อนำมาใช้สำหรับทำเป็น Dropdown

  • Code Snippet: ใช้ firebaseConfig ของแต่ละ Project เพื่อเชื่อมต่อโดยตรง และสร้าง Key ID อัตโนมัติด้วยคำสั่ง .push(data) บอกตามตรง ส่วนนี้ AI ช่วยผมทำให้ 555


ฟังก์ชันหลัก (Core Features) และ Best Practices ในโค้ด

  • การบันทึกข้อมูล (Create):

    • ใช้ JavaScript ดึง Master Data มาเติมใน <select> (Dropdowns) ในหน้าบันทึก เพื่อลดความผิดพลาดในการบันทึกและรักษาความสะอาดของข้อมูล  - AI ก็ช่วยผมอีกงานนี้ เหตุผลก็คือ ผมอยากให้ User ใช้งานได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องพิมพ์เยอะ และไม่อยากให้ผิดพลาด (อันนี้คิดเอง ออกแบบเอง ฮิฮิ)

  • การตรวจทานและควบคุมข้อมูล (Read & Update)

    • Filter ข้อมูลตามช่วงวันที่: สร้างระบบให้มี การ Filter ข้อมูลตามช่วงวันที่ ด้วย JavaScript ในฝั่ง Client ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการควบคุมปริมาณข้อมูลที่แสดงผลและลดภาระการโหลด
    • เครื่องมือควบคุม: มีปุ่ม ✏️ แก้ไข และ 💾 บันทึก เพื่ออัปเดตเฉพาะรายการนั้นๆ และมีปุ่ม 🗑️ ลบ สำหรับลบรายการที่บันทึกผิดพลาดทันที 

  • การ Export ข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์ (Export):

    • เพื่อให้ผู้ใช้สามารถนำข้อมูลเก่าไปวิเคราะห์ต่อ ผมจึงเลือกใช้ไลบรารี Papa Parse หรือโค้ด JavaScript ในการแปลงข้อมูลตาราง (HTML Table) ให้เป็นไฟล์ CSV ที่พร้อมใช้งานทันที (จริงๆ แล้ว AI บอกและอธิบายผม ผมเลยสั่งให้มันทำให้ผมด้วยเลย 555)

  • หน้าเพจ หรือแบบฟอร์มที่พัฒนาวันนี้ 

    1. FG_form.html: หน้าจอสำหรับ บันทึกข้อมูลผลผลิต (Finished Goods - FG)

    2. review_receipts.html: หน้าจอสำหรับ ตรวจทาน/แก้ไข/ลบ ข้อมูลการรับวัตถุดิบ (Node ReceiptsRM) และใช้ Download CSV file สำหรับเก็บข้อมูลเก่า

    3. review_FGdata.html: หน้าจอสำหรับ ตรวจทาน/แก้ไข/ลบ ข้อมูลผลผลิตสำเร็จรูป (Node ReceiptsFG) และใช้ Download CSV file สำหรับเก็บข้อมูลเก่า

    4. admin_upload.html: เครื่องมือสำหรับ Admin ใช้ในการ อัปโหลด (Import) Master Data จากไฟล์ CSV เข้าสู่ Firebase ในครั้งแรก หรือ update ให้เป็นปัจจุบันแบบง่ายๆ

    5. index.html: หน้าจอหลักสำหรับ บันทึกข้อมูลการรับวัตถุดิบ (Raw Material - RM)


กลยุทธ์การใช้งานฟรีอย่างยั่งยืน (The Free Tier Strategy)

ตั้งใจอ่านกันดีๆ ส่วนนี้เป็นหัวข้อสำคัญ ที่จะทำให้ใช้ฟรีได้ยาวๆ!

  • ขีดจำกัดของ Firebase Spark Plan (ที่ผมเลือกใช้แบบฟรี โดยต้องมีบัญชี Gmail นะ เพราะเป็น Product ของ Google เขาล่ะ) แต่สามารถใช้งานได้หลายอย่าง เช่น 

    • Realtime DB Storage (1 GB): ซึ่งผมเลือกใช้มันในครั้งนี้ โดยเพียงพอสำหรับ 2 ล้าน Records แต่วันหนึ่งก็อาจไม่พอ เลยต้องหาทางแก้ไว้ เพื่อให้ใช้ฟรียาวๆ

    • Network Egress (10 GB/เดือน): เน้นย้ำว่านี่คือขีดจำกัดที่อาจเจอก่อน โดยเฉพาะเมื่อเปิดหน้า Review ที่โหลดข้อมูลเยอะ - อันนี้ AI ช่วยทำให้อีกแล้ว น่าจะรอดตัวไป ฮิฮิ

  • กลยุทธ์ "Export & Archive":

    • ใช้วิธี ดาวน์โหลด (Export) ข้อมูลที่ผ่านมา หรือครึ่งปี แล้วแต่จะมีข้อมูลมากน้อย เป็นไฟล์ CSV และเก็บไว้ใน Local/Drive (แต่ถ้าทั้งปีไม่ถึง 2 ล้าน Records  ก็ทำปีละครั้งได้)

    • ลบข้อมูลเก่า ออกจาก Node ใน Realtime Database ผ่าน Firebase Console โดยตรง (Mass Deletion) เพื่อเคลียร์พื้นที่ 1 GB ให้กลับมาใช้งานได้ใหม่อยู่ตลอดเวลา


ผลที่ได้หลังจากการทำ

ระบบ Web App ที่พัฒนาขึ้นครั้งนี้ได้ใช้งานจริง และส่งมอบให้กับลูกค้า SME ที่ให้คำปรึกษาอยู่ในปัจจุบันเป็นที่เรียบร้อย นี้เป็นการผสานความรู้ด้าน IT (Client-Side Development) เข้ากับ ความเข้าใจในอุตสาหกรรม ความเข้าใจในงานอย่างแท้จริง บนแนวคิดที่ว่า User is Developer โดยผมจำลองตัวเองในฐานะที่ปรึกษาอุตสาหกรรมเป็นผู้ใช้ และทำหน้าที่พัฒนาให้ดีและง่ายมีประสิทธิภาพสำหรับการใช้งาน

แล้วจะรู้ว่า "การทำงานแบบดิจิตอล ไม่ได้ยากเลย" ลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ งงตรงไหน ก็มี AI เป็น IT  Helpdesk ให้ผม 

หากคุณต้องการนำระบบนี้ไปใช้จริงในโรงงานของคุณ, ต้องการ ปรับแต่ง (Customize) โครงสร้างข้อมูลให้เข้ากับ Workflow ของคุณ, หรือต้องการทำ Data Migration จาก Excel เข้าสู่ Firebase อย่างถูกต้อง สามารถเริ่มตนทำเงอได้เลย หรือปรึกษาเราได้

หากคุณมีคำถามหรือต้องการแลกเปลี่ยนการพัฒนา Web App สำหรับใช้ในการทำงาน สามารถแสดงความคิดเห็นไว้ด้านล่างได้เลยครับ

หากคุณต้องการความช่วยเหลือเพื่อขับเคลื่อนและพัฒนาองค์กรของคุณในเรื่องนี้ เราก็พร้อมเป็นที่ปรึกษาและผู้จัดฝึกอบรมให้กับคุณ 

สามารถติดต่อเพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ตามช่องทางดังต่อไปนี้:

  • โทร: 081-8476479

  • LINE ID: naitakeab

  • Email: rightway.mgt@gmail.com

หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา:

วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

4 กลไกขับเคลื่อนคุณภาพแบบ TQM ที่องค์กรธุรกิจของคุณต้องมี!

ในโลกธุรกิจที่การแข่งขันสูงเช่นนี้ "คุณภาพ" ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คือ "ความได้เปรียบที่ยั่งยืน" เมื่อสัปดาห์ที่แล้วในระหว่างการฝึกอบรม ผมมีโอกาสได้พูดถึง TQM (Total Quality Management) และหัวใจสำคัญที่ขาดไม่ได้คือ "ช่องทางการบริหารเพื่อส่งเสริมคุณภาพ" (TQM Promotion Vehicles) .

กลไกทั้ง 4 นี้ คือ ระบบปฏิบัติการ ที่ทำให้แนวคิดคุณภาพถูกถ่ายทอดจากห้องประชุมผู้บริหารไปถึงสายการผลิต และตลอดทั้งซัพพลายเชน และย้อนกลับมาที่การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์อีกครั้ง มาดูกันครับว่าแต่ละกลไกสร้างมูลค่าทางธุรกิจได้อย่างไร

ภาพที่เราเห็นกันด้านบน แสดงให้เห็นว่าการบริหารคุณภาพ ไม่ได้มีแค่รูปแบบเดียว แต่ต้องใช้ 4 กลไกสำคัญ ที่ทำงานสอดประสานกันเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน นั่นคือ "ความเป็นเลิศด้านคุณภาพ"


1. 🟥 Policy Management: การเปลี่ยนวิสัยทัศน์สู่การปรับปรุงเชิงกลยุทธ์

ผลลัพธ์ทางธุรกิจ: การเติบโตแบบก้าวกระโดด (Breakthrough Improvement) และการบรรลุเป้าหมายเชิงกลยุทธ์

ในภาคธุรกิจ การบริหารช่องทางนี้คือเครื่องมือที่เชื่อมโยง "สิ่งที่ผู้บริหารอยากเห็นใน 3-5 ปีข้างหน้า" ให้กลายเป็นการปฏิบัติงานในวันนี้

  • เน้นที่: Hoshin Kanri (การบริหารเข็มทิศทิศทาง) เป็นการตัดสินใจว่าจะ "ไม่ทำ" อะไรที่ไม่สำคัญ และ "ทุ่มเท" ทรัพยากรไปกับการปรับปรุงใหญ่ เช่น การเข้าสู่ตลาดใหม่ การลดต้นทุนการผลิตที่ไม่สร้างมูลค่า (Non-Value Added Cost) 30% หรือการลดระยะเวลานำ (Lead Time) ในการส่งมอบ

  • บทบาทสำคัญ: กำหนดเป็น "นโยบายประจำปี" (Annual Policy) ที่ชัดเจน และมีการ "Catchball" (การโยนและรับเป้าหมายระหว่างระดับ) เพื่อให้ผู้บริหารระดับกลางรับไปแตกแผนงาน และผู้บริหารระดับสูงติดตามผลการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์อย่างใกล้ชิด

  • ตัวแบบการดำเนินงาน : PDCA (Plan > DO > Check > Act) โดยเป็นกระบวนการจัดการเพื่อพาองค์กรไปสู่เป้าหมายที่ต้องการในอนาคตแบบก้าวกระโดดจากสภาพเดิมๆ


2. 🟦 Daily Management: การสร้างเสถียรภาพและลดความผันผวนของธุรกิจจากการปฏิบัติประจำวัน

ผลลัพธ์ทางธุรกิจ: ความสม่ำเสมอของคุณภาพ (Consistency) และความเชื่อมั่นของลูกค้า

ในมุมมองธุรกิจ Daily Management คือการสร้าง "ความน่าเชื่อถือ" ให้กับผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ เป็นการบริหารเพื่อ "ควบคุมสิ่งที่คงที่ให้คงเส้นคงวา" เพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าจะได้รับประสบการณ์เดียวกันทุกครั้ง (หากเปรียบเทียบกับระบบมาตรฐานการทำงานปัจจุบัน ก็น่าจะเป็น มาตรฐาน ISO 9001 นั้นเอง) โดย

  • เน้นที่: Standardization (การกำหนดมาตรฐาน) และ Control (การควบคุม) โดยใช้ตัวชี้วัดหลัก ๆ ของกระบวนการ (Process KPIs) หากตัวชี้วัดเหล่านี้หลุดจากมาตรฐาน (Out of Control) ทีมงานต้องมี Standard Response (การตอบสนองมาตรฐาน) เพื่อแก้ไขปัญหาทันที

  • ความสำคัญ: การบริหารงานประจำวันที่เข้มแข็งทำให้องค์กรสามารถ "รักษากำไร" ได้อย่างสม่ำเสมอ เพราะช่วยลดต้นทุนที่เกิดจากความผิดพลาด (Cost of Poor Quality - COPQ) เช่น การรับประกันสินค้า การแก้ไขงาน หรือการสูญเสียลูกค้า

  • ตัวแบบการดำเนินงาน : SDCA (Standard > DO > Check > Act) โดยเป็นกระบวนการรักษามาตรฐานการทำงานที่ดีให้คงไว้ในองค์กร หรือมีการปรับปรุงการทำงานเล็กๆน้อยๆ อย่างต่อเนื่อง


3. 🟪 Cross Functional Management: ส่งมอบคุณค่า (Value) ที่ไร้รอยต่อ

ผลลัพธ์ทางธุรกิจ: การลดความซ้ำซ้อนและเพิ่มความเร็วในการตอบสนองตลาด

ปัญหาใหญ่ในองค์กรธุรกิจคือการทำงานแบบ "ไซโล" (Silo) ช่องทางนี้จึงเป็นกลไกสำคัญในการบริหาร "กระบวนการแนวนอน" เพื่อให้มั่นใจว่าตั้งแต่การรับวัตถุดิบจนถึงมือลูกค้า คุณภาพเป็นไปตามข้อกำหนดในทุกจุด

  • เน้นที่: การบริหารจัดการห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain Management) ในเรื่องที่ต้องอาศัยการตัดสินใจร่วมกัน เช่น:

    • การจัดการต้นทุนรวม (Total Cost Management): ต้องประสานงานระหว่างฝ่ายจัดซื้อ การผลิต และการเงิน

    • การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ (New Product Introduction - NPI): ต้องประสานงานระหว่าง R&D การตลาด และการผลิต เพื่อให้สินค้าเปิดตัวได้รวดเร็วและตรงตามความต้องการของลูกค้า

    • การจัดการปัญหา และมุ่งสู่ความสำเร็จร่วมกัน : โดยต้องประสานงานทุกๆฝ่าย ที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดการปัญหา หรือยกระดับการทำงานขององค์กรไปสู่ความสำเร็จด้วยการทำงานร่วมกัน เช่น ในปัจจุบันหลายองค์กรก็มุ่งเน้นไปที่การลดการปลดปล่อยคาร์บอน เป็นต้น

  • ความสำคัญ: ช่วยให้องค์กร "คล่องตัว" (Agile) สามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้เร็วขึ้น โดยการกำจัดความล่าช้าที่เกิดจากการส่งต่อข้อมูลระหว่างแผนก มุ่งสร้างการทำงานที่เป็นทีม 


4. 🟩 Bottom-up Activity: ปลุกพลังพนักงานให้กลายเป็นนักปรับปรุง

ผลลัพธ์ทางธุรกิจ: การปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานอย่างต่อเนื่องและการสร้างวัฒนธรรมองค์กรแห่งการเรียนรู้

นี่คือการใช้ "ภูมิปัญญา" ของพนักงานหน้างาน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในงานของตนเอง ให้กลายเป็นแหล่งข้อมูลและแหล่งกำเนิดของการปรับปรุงเล็ก ๆ น้อย ๆ

  • กิจกรรมตัวอย่างที่สร้างมูลค่า:

    • QCC (Quality Control Circle): ทีมพนักงานร่วมกันแก้ไขปัญหาเล็ก ๆ ที่ส่งผลต่อต้นทุน เช่น การลดเวลาเปลี่ยนโมลด์ (Setup Time Reduction)

    • 5ส: ไม่ใช่แค่การจัดระเบียบ แต่คือรากฐานของการทำงานแบบมีวินัย เพื่อ ลดการค้นหา และ เพิ่มความปลอดภัย ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) โดยตรง

    • ระบบข้อเสนอแนะ (Suggestion System): ระบบที่เปิดโอกาสให้พนักงานเสนอแนวคิดเพื่อปรับปรุงงาน

  • ความสำคัญ: การมีส่วนร่วมจากระดับปฏิบัติการทำให้เกิด "การปรับปรุงที่ประหยัดต้นทุน" และสร้างขวัญกำลังใจ (Engagement) ให้พนักงานรู้สึกเป็นเจ้าของกระบวนการ


🔑 สรุป: ความสมดุลคือหัวใจของความสำเร็จ

การบริหารองค์กรให้มีคุณภาพและยั่งยืนนั้น ไม่สามารถพึ่งพาช่องทางใดช่องทางหนึ่งได้ แต่ต้องใช้ทั้ง 4 ช่องทางนี้ควบคู่กันไปอย่างสมดุล:

  • Policy Management เป็นแรงผลักดันจากบนลงล่าง เพื่อกำหนดทิศทางและสร้างการเปลี่ยนแปลงใหญ่

  • Daily Management เป็นการควบคุมและรักษาสภาพ เพื่อสร้างความมั่นคงและประสิทธิภาพในงานประจำ

  • Cross Functional Management เป็นการเชื่อมโยงการทำงานในแนวนอน เพื่อให้กระบวนการไหลลื่นและมีคุณภาพในทุกจุด

  • Bottom-up Activity เป็นพลังจากล่างขึ้นบน เพื่อสร้างการปรับปรุงเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างต่อเนื่องและสร้างการมีส่วนร่วม

ภาพผังองค์กรด้านบนแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างช่องทางการบริหารและระดับการบริหารที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจน ผู้บริหารระดับสูง จะดูแล Policy Management, ผู้บริหารระดับกลาง ดูแล Daily Management, และ ระดับปฏิบัติการ ขับเคลื่อน Bottom-up Activity โดยมี Cross Functional Management เชื่อมโยงทุกระดับและทุกฟังก์ชันเข้าไว้ด้วยกัน.

หากขาดช่องทางใดไป องค์กรก็จะไม่สามารถรักษาเสถียรภาพ (Daily) พร้อม ๆ ไปกับการเติบโตแบบก้าวกระโดด (Policy) ได้อย่างยั่งยืน หรืออาจขาดการประสานงานที่ดีและการขับเคลื่อนจากพนักงาน


🔥 คำถามสำหรับเจ้าของธุรกิจและผู้บริหารทุกท่าน: คุณมั่นใจแล้วหรือยังว่ากลไกทั้ง 4 ขององค์กรคุณทำงานสอดประสานกันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ?
จากประสบการณ์การตรวจอุตสาหกรรมดีเด่นมาหลายปี พบเห็นว่า Paint Point หนึ่งที่ทำให้กิจการนั้นๆ พลาดรางวัล ก็คือการทำงานแบบ "Silo Management" นั้นเอง


ผมหวังว่าฉบับนี้จะตอบโจทย์การนำไปใช้ในบริบทภาคธุรกิจของคุณได้ดียิ่งขึ้นนะครับ คุณอยากให้ผมหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่องมือทางธุรกิจที่ใช้กับ Policy Management (เช่น Hoshin Kanri) หรือไม่ครับ?

หากคุณมีคำถามหรือต้องการแลกเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับการขับเคลื่อนคุณภาพแบบ TQM  สามารถแสดงความคิดเห็นไว้ด้านล่างได้เลยครับ

หากคุณต้องการความช่วยเหลือเพื่อขับเคลื่อนองค์กรของคุณ โดยการประยุกต์ใช้ปรัชญาการดำเนินงานแบบ TQM นำ เราพร้อมเป็นที่ปรึกษาและผู้จัดฝึกอบรมให้กับคุณ 

สามารถติดต่อเพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ตามช่องทางดังต่อไปนี้:

  • โทร: 081-8476479

  • LINE ID: naitakeab

  • Email: rightway.mgt@gmail.com

หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา:

หยุดใช้กระดาษและ Spreadsheet แล้วมาใช้ Web App ที่พัฒนาเองบันทึกข้อมูล (ทำเองได้ ใช้ฟรี ยาวๆ!)

Web App จัดการข้อมูลการทำงาน ด้วย HTML/JS + Firebase (ประหยัดและใช้ฟรีได้ยาวๆ!) ในฐานะที่ปรึกษาในอุตสาหกรรม ผมพบว่าความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดอย...