วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

4 กลไกขับเคลื่อนคุณภาพแบบ TQM ที่องค์กรธุรกิจของคุณต้องมี!

ในโลกธุรกิจที่การแข่งขันสูงเช่นนี้ "คุณภาพ" ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คือ "ความได้เปรียบที่ยั่งยืน" เมื่อสัปดาห์ที่แล้วในระหว่างการฝึกอบรม ผมมีโอกาสได้พูดถึง TQM (Total Quality Management) และหัวใจสำคัญที่ขาดไม่ได้คือ "ช่องทางการบริหารเพื่อส่งเสริมคุณภาพ" (TQM Promotion Vehicles) .

กลไกทั้ง 4 นี้ คือ ระบบปฏิบัติการ ที่ทำให้แนวคิดคุณภาพถูกถ่ายทอดจากห้องประชุมผู้บริหารไปถึงสายการผลิต และตลอดทั้งซัพพลายเชน และย้อนกลับมาที่การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์อีกครั้ง มาดูกันครับว่าแต่ละกลไกสร้างมูลค่าทางธุรกิจได้อย่างไร

ภาพที่เราเห็นกันด้านบน แสดงให้เห็นว่าการบริหารคุณภาพ ไม่ได้มีแค่รูปแบบเดียว แต่ต้องใช้ 4 กลไกสำคัญ ที่ทำงานสอดประสานกันเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน นั่นคือ "ความเป็นเลิศด้านคุณภาพ"


1. 🟥 Policy Management: การเปลี่ยนวิสัยทัศน์สู่การปรับปรุงเชิงกลยุทธ์

ผลลัพธ์ทางธุรกิจ: การเติบโตแบบก้าวกระโดด (Breakthrough Improvement) และการบรรลุเป้าหมายเชิงกลยุทธ์

ในภาคธุรกิจ การบริหารช่องทางนี้คือเครื่องมือที่เชื่อมโยง "สิ่งที่ผู้บริหารอยากเห็นใน 3-5 ปีข้างหน้า" ให้กลายเป็นการปฏิบัติงานในวันนี้

  • เน้นที่: Hoshin Kanri (การบริหารเข็มทิศทิศทาง) เป็นการตัดสินใจว่าจะ "ไม่ทำ" อะไรที่ไม่สำคัญ และ "ทุ่มเท" ทรัพยากรไปกับการปรับปรุงใหญ่ เช่น การเข้าสู่ตลาดใหม่ การลดต้นทุนการผลิตที่ไม่สร้างมูลค่า (Non-Value Added Cost) 30% หรือการลดระยะเวลานำ (Lead Time) ในการส่งมอบ

  • บทบาทสำคัญ: กำหนดเป็น "นโยบายประจำปี" (Annual Policy) ที่ชัดเจน และมีการ "Catchball" (การโยนและรับเป้าหมายระหว่างระดับ) เพื่อให้ผู้บริหารระดับกลางรับไปแตกแผนงาน และผู้บริหารระดับสูงติดตามผลการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์อย่างใกล้ชิด

  • ตัวแบบการดำเนินงาน : PDCA (Plan > DO > Check > Act) โดยเป็นกระบวนการจัดการเพื่อพาองค์กรไปสู่เป้าหมายที่ต้องการในอนาคตแบบก้าวกระโดดจากสภาพเดิมๆ


2. 🟦 Daily Management: การสร้างเสถียรภาพและลดความผันผวนของธุรกิจจากการปฏิบัติประจำวัน

ผลลัพธ์ทางธุรกิจ: ความสม่ำเสมอของคุณภาพ (Consistency) และความเชื่อมั่นของลูกค้า

ในมุมมองธุรกิจ Daily Management คือการสร้าง "ความน่าเชื่อถือ" ให้กับผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ เป็นการบริหารเพื่อ "ควบคุมสิ่งที่คงที่ให้คงเส้นคงวา" เพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าจะได้รับประสบการณ์เดียวกันทุกครั้ง (หากเปรียบเทียบกับระบบมาตรฐานการทำงานปัจจุบัน ก็น่าจะเป็น มาตรฐาน ISO 9001 นั้นเอง) โดย

  • เน้นที่: Standardization (การกำหนดมาตรฐาน) และ Control (การควบคุม) โดยใช้ตัวชี้วัดหลัก ๆ ของกระบวนการ (Process KPIs) หากตัวชี้วัดเหล่านี้หลุดจากมาตรฐาน (Out of Control) ทีมงานต้องมี Standard Response (การตอบสนองมาตรฐาน) เพื่อแก้ไขปัญหาทันที

  • ความสำคัญ: การบริหารงานประจำวันที่เข้มแข็งทำให้องค์กรสามารถ "รักษากำไร" ได้อย่างสม่ำเสมอ เพราะช่วยลดต้นทุนที่เกิดจากความผิดพลาด (Cost of Poor Quality - COPQ) เช่น การรับประกันสินค้า การแก้ไขงาน หรือการสูญเสียลูกค้า

  • ตัวแบบการดำเนินงาน : SDCA (Standard > DO > Check > Act) โดยเป็นกระบวนการรักษามาตรฐานการทำงานที่ดีให้คงไว้ในองค์กร หรือมีการปรับปรุงการทำงานเล็กๆน้อยๆ อย่างต่อเนื่อง


3. 🟪 Cross Functional Management: ส่งมอบคุณค่า (Value) ที่ไร้รอยต่อ

ผลลัพธ์ทางธุรกิจ: การลดความซ้ำซ้อนและเพิ่มความเร็วในการตอบสนองตลาด

ปัญหาใหญ่ในองค์กรธุรกิจคือการทำงานแบบ "ไซโล" (Silo) ช่องทางนี้จึงเป็นกลไกสำคัญในการบริหาร "กระบวนการแนวนอน" เพื่อให้มั่นใจว่าตั้งแต่การรับวัตถุดิบจนถึงมือลูกค้า คุณภาพเป็นไปตามข้อกำหนดในทุกจุด

  • เน้นที่: การบริหารจัดการห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain Management) ในเรื่องที่ต้องอาศัยการตัดสินใจร่วมกัน เช่น:

    • การจัดการต้นทุนรวม (Total Cost Management): ต้องประสานงานระหว่างฝ่ายจัดซื้อ การผลิต และการเงิน

    • การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ (New Product Introduction - NPI): ต้องประสานงานระหว่าง R&D การตลาด และการผลิต เพื่อให้สินค้าเปิดตัวได้รวดเร็วและตรงตามความต้องการของลูกค้า

    • การจัดการปัญหา และมุ่งสู่ความสำเร็จร่วมกัน : โดยต้องประสานงานทุกๆฝ่าย ที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดการปัญหา หรือยกระดับการทำงานขององค์กรไปสู่ความสำเร็จด้วยการทำงานร่วมกัน เช่น ในปัจจุบันหลายองค์กรก็มุ่งเน้นไปที่การลดการปลดปล่อยคาร์บอน เป็นต้น

  • ความสำคัญ: ช่วยให้องค์กร "คล่องตัว" (Agile) สามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้เร็วขึ้น โดยการกำจัดความล่าช้าที่เกิดจากการส่งต่อข้อมูลระหว่างแผนก มุ่งสร้างการทำงานที่เป็นทีม 


4. 🟩 Bottom-up Activity: ปลุกพลังพนักงานให้กลายเป็นนักปรับปรุง

ผลลัพธ์ทางธุรกิจ: การปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานอย่างต่อเนื่องและการสร้างวัฒนธรรมองค์กรแห่งการเรียนรู้

นี่คือการใช้ "ภูมิปัญญา" ของพนักงานหน้างาน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในงานของตนเอง ให้กลายเป็นแหล่งข้อมูลและแหล่งกำเนิดของการปรับปรุงเล็ก ๆ น้อย ๆ

  • กิจกรรมตัวอย่างที่สร้างมูลค่า:

    • QCC (Quality Control Circle): ทีมพนักงานร่วมกันแก้ไขปัญหาเล็ก ๆ ที่ส่งผลต่อต้นทุน เช่น การลดเวลาเปลี่ยนโมลด์ (Setup Time Reduction)

    • 5ส: ไม่ใช่แค่การจัดระเบียบ แต่คือรากฐานของการทำงานแบบมีวินัย เพื่อ ลดการค้นหา และ เพิ่มความปลอดภัย ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) โดยตรง

    • ระบบข้อเสนอแนะ (Suggestion System): ระบบที่เปิดโอกาสให้พนักงานเสนอแนวคิดเพื่อปรับปรุงงาน

  • ความสำคัญ: การมีส่วนร่วมจากระดับปฏิบัติการทำให้เกิด "การปรับปรุงที่ประหยัดต้นทุน" และสร้างขวัญกำลังใจ (Engagement) ให้พนักงานรู้สึกเป็นเจ้าของกระบวนการ


🔑 สรุป: ความสมดุลคือหัวใจของความสำเร็จ

การบริหารองค์กรให้มีคุณภาพและยั่งยืนนั้น ไม่สามารถพึ่งพาช่องทางใดช่องทางหนึ่งได้ แต่ต้องใช้ทั้ง 4 ช่องทางนี้ควบคู่กันไปอย่างสมดุล:

  • Policy Management เป็นแรงผลักดันจากบนลงล่าง เพื่อกำหนดทิศทางและสร้างการเปลี่ยนแปลงใหญ่

  • Daily Management เป็นการควบคุมและรักษาสภาพ เพื่อสร้างความมั่นคงและประสิทธิภาพในงานประจำ

  • Cross Functional Management เป็นการเชื่อมโยงการทำงานในแนวนอน เพื่อให้กระบวนการไหลลื่นและมีคุณภาพในทุกจุด

  • Bottom-up Activity เป็นพลังจากล่างขึ้นบน เพื่อสร้างการปรับปรุงเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างต่อเนื่องและสร้างการมีส่วนร่วม

ภาพผังองค์กรด้านบนแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างช่องทางการบริหารและระดับการบริหารที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจน ผู้บริหารระดับสูง จะดูแล Policy Management, ผู้บริหารระดับกลาง ดูแล Daily Management, และ ระดับปฏิบัติการ ขับเคลื่อน Bottom-up Activity โดยมี Cross Functional Management เชื่อมโยงทุกระดับและทุกฟังก์ชันเข้าไว้ด้วยกัน.

หากขาดช่องทางใดไป องค์กรก็จะไม่สามารถรักษาเสถียรภาพ (Daily) พร้อม ๆ ไปกับการเติบโตแบบก้าวกระโดด (Policy) ได้อย่างยั่งยืน หรืออาจขาดการประสานงานที่ดีและการขับเคลื่อนจากพนักงาน


🔥 คำถามสำหรับเจ้าของธุรกิจและผู้บริหารทุกท่าน: คุณมั่นใจแล้วหรือยังว่ากลไกทั้ง 4 ขององค์กรคุณทำงานสอดประสานกันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ?
จากประสบการณ์การตรวจอุตสาหกรรมดีเด่นมาหลายปี พบเห็นว่า Paint Point หนึ่งที่ทำให้กิจการนั้นๆ พลาดรางวัล ก็คือการทำงานแบบ "Silo Management" นั้นเอง


ผมหวังว่าฉบับนี้จะตอบโจทย์การนำไปใช้ในบริบทภาคธุรกิจของคุณได้ดียิ่งขึ้นนะครับ คุณอยากให้ผมหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่องมือทางธุรกิจที่ใช้กับ Policy Management (เช่น Hoshin Kanri) หรือไม่ครับ?

หากคุณมีคำถามหรือต้องการแลกเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับการขับเคลื่อนคุณภาพแบบ TQM  สามารถแสดงความคิดเห็นไว้ด้านล่างได้เลยครับ

หากคุณต้องการความช่วยเหลือเพื่อขับเคลื่อนองค์กรของคุณ โดยการประยุกต์ใช้ปรัชญาการดำเนินงานแบบ TQM นำ เราพร้อมเป็นที่ปรึกษาและผู้จัดฝึกอบรมให้กับคุณ 

สามารถติดต่อเพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ตามช่องทางดังต่อไปนี้:

  • โทร: 081-8476479

  • LINE ID: naitakeab

  • Email: rightway.mgt@gmail.com

หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา:

วันพุธที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2568

แกะรอย SDO Model: โมเดลบริหารจัดการองค์กรยุคใหม่สู่ความยั่งยืนและผลกำไรที่สมดุล

 บทนำ: ความท้าทายใหม่ของผู้นำองค์กร

ในยุคที่โลกหมุนเร็วและมีความซับซ้อน องค์กรธุรกิจไม่ได้ถูกวัดผลแค่เพียงยอดขายหรือผลกำไรอีกต่อไป แต่ยังถูกท้าทายด้วยประเด็นด้าน สิ่งแวดล้อม (E) สังคม (S) และ ธรรมาภิบาล (G) ที่เข้มข้นขึ้น ผู้บริโภคยุคใหม่ใส่ใจใน "ความยั่งยืน" ขณะที่บุคลากรก็ต้องการ "ความสุข" ในการทำงานมากขึ้น

ความสมดุลระหว่างการทำกำไร (Profit) กับการรับผิดชอบต่อโลก (Planet) และผู้คน (People) จึงกลายเป็นโจทย์ใหญ่ที่ผู้บริหารต้องหาคำตอบ

ผมจึงได้พัฒนา "ตัวแบบ SDO" ขึ้นมาเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติ (Practical Framework) ในการบริหารจัดการองค์กรสมัยใหม่ โดยมีแกนกลางคือ SDO ซึ่งย่อมาจาก Strategic Driving Objectives (เป้าหมายขับเคลื่อนเชิงกลยุทธ์) ที่ทำหน้าที่เป็นเสาหลักในการขับเคลื่อน 4 มิติหลัก ขององค์กรอย่างสมดุล

บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึก SDO (แกนกลาง) และ 4 มิติ ที่ถูกขับเคลื่อนอยู่รอบ ๆ ว่าเชื่อมโยงกันอย่างไร เพื่อให้องค์กรของคุณไม่เพียงแต่รอด แต่เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในระยะยาว


🎯 ทำความรู้จัก SDO Model: แกนกลางและ 4 มิติขับเคลื่อน

ตัวแบบ SDO ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของการดำเนินงานที่สมดุล โดยมี SDO เป็นทิศทางนำ และมี 4 มิติที่ต้องปฏิบัติการอย่างต่อเนื่อง:

1. แกนกลาง: SDO (Strategic Driving Objectives)

SDO คือ เสาหลักทางยุทธศาสตร์ ของตัวแบบ ทำหน้าที่เป็นเข็มทิศในการกำหนดทิศทางและจัดลำดับความสำคัญในการตัดสินใจทั้งหมด การที่เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ (SDO) ของคุณชัดเจน จะทำให้การขับเคลื่อนใน 4 มิติที่อยู่รอบ ๆ เป็นไปอย่างมีจุดมุ่งหมายและสอดคล้องกับวิสัยทัศน์องค์กร


2. 4 มิติหลักและผลลัพธ์ที่เกิดจากการขับเคลื่อน

มิติเหล่านี้คือการลงมือปฏิบัติที่องค์กรต้องให้ความสำคัญ ซึ่งแต่ละมิติจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่วัดผลได้ชัดเจน:

มิติที่ 1: Happy Workplace Execute (มิติบุคลากรและวัฒนธรรม)

มิตินี้เน้นการลงทุนและปฏิบัติการเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมสุขภาพกายและใจของพนักงาน

  • การขับเคลื่อน: เน้นการ Execute หรือการลงมือทำโปรแกรมที่ทำให้พนักงานรู้สึกมีส่วนร่วม ปลอดภัย และได้รับการพัฒนา

  • ผลลัพธ์: การขับเคลื่อนนี้จะนำไปสู่การตอบสนอง ความต้องการของทีม (Team Needs) ซึ่งผลที่ตามมาคือประสิทธิภาพการทำงานที่สูงขึ้น ความผูกพันต่อองค์กร และการรักษาบุคลากรที่มีคุณภาพไว้ได้

มิติที่ 2: Go to zero Emission (มิติสิ่งแวดล้อมเชิงกลยุทธ์)

การเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมคือความรับผิดชอบที่ส่งผลต่อการยอมรับของสังคมและโลก

  • การขับเคลื่อน: คือการตั้งเป้าหมายที่ท้าทายให้ มุ่งสู่ Zero Emission หรือ Net Zero ซึ่งรวมถึงการลดการใช้พลังงานฟอสซิล และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดห่วงโซ่คุณค่า

  • ผลลัพธ์: การขับเคลื่อนนี้จะนำไปสู่การตอบสนองสิ่งที่ โลก/สังคมต้องการ (Planet/Society Needs) การทำเช่นนี้ช่วยสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ที่น่าเชื่อถือในระดับสากล และลดความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม

มิติที่ 3: Reduce Wastes (มิติประสิทธิภาพและการจัดการทรัพยากร)

การลดของเสียคือการประยุกต์หลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เข้ากับการดำเนินงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

  • การขับเคลื่อน: เน้นการ Reduce Wastes หรือการลดของเสียในทุกกระบวนการผลิตและปฏิบัติการ ด้วยหลัก 3R (Reduce, Reuse, Recycle) การทำงานแบบ LEAN และการจัดการทรัพยากรอย่างคุ้มค่า

  • ผลลัพธ์: การขับเคลื่อนนี้จะนำไปสู่การ ลดต้นทุน (Cost Reduction) ได้อย่างมีนัยสำคัญ เพราะการลดของเสียโดยตรงคือการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

มิติที่ 4: Create Values (มิติการสร้างสรรค์มูลค่าทางเศรษฐกิจ)

ความยั่งยืนที่แท้จริงต้องมีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

  • การขับเคลื่อน: คือการ Create Values หรือสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้าและตลาดผ่านนวัตกรรม สินค้า/บริการที่ยั่งยืน เปลี่ยนของเหลือ ของเสียให้สร้างคุณค่า หรือการแก้ปัญหาสังคมด้วยธุรกิจ

  • ผลลัพธ์: การขับเคลื่อนนี้จะนำไปสู่การ เพิ่มรายได้ (Revenue Growth) เพราะการส่งมอบมูลค่าที่โดดเด่นและเป็นมิตรต่อโลกจะสร้างความต้องการใหม่ ๆ ในตลาดและนำมาซึ่งโอกาสทางธุรกิจที่ยั่งยืน


💡 บทสรุป: SDO Model เพื่อการเติบโตอย่างมีคุณธรรม

SDO Model จึงไม่ใช่เพียงแค่การทำ CSR หรือการทำตามกฎหมาย แต่เป็นปรัชญาการบริหารจัดการที่สร้างความสมดุลระหว่าง:

  • ผลกำไรที่มาจากประสิทธิภาพ (ลดต้นทุน)

  • การเติบโตที่มาจากการสร้างคุณค่าใหม่ (เพิ่มรายได้)

โดยมีฐานรากมาจากบุคลากรที่มีความสุขและโลกที่มีความยั่งยืน ซึ่งทั้งหมดถูกขับเคลื่อนและกำหนดทิศทางโดย SDO ที่เป็นแกนกลางขององค์กร

ถ้าคุณเป็นผู้บริหารหรือผู้ประกอบการ ลองนำตัวแบบ SDO นี้ไปทบทวนแผนกลยุทธ์ขององค์กรคุณดูนะครับ

คำถามให้คิด: องค์กรของคุณให้ความสำคัญกับ "Execute" มากกว่า "Talk" ในมิติของ Happy Workplace หรือไม่? 

คำถามให้ปฏิบัติ: คุณมีตัวชี้วัดที่ชัดเจนสำหรับการ "Go to zero" และ "Reduce Wastes" ในปีนี้แล้วหรือยัง?

เรามาสร้างองค์กรที่เติบโตอย่างมีกำไร ควบคู่ไปกับความรับผิดชอบต่อโลกใบนี้กันนะครับ!


หากคุณมีคำถามหรือต้องการแลกเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับ SDO Model สามารถแสดงความคิดเห็นไว้ด้านล่างได้เลยครับ

พร้อมนำ SDO Model ไปปรับใช้ในองค์กรของคุณแล้วหรือยัง?

หากคุณต้องการความช่วยเหลือในการนำ SDO Model ไปประยุกต์ใช้เพื่อขับเคลื่อนองค์กรของคุณสู่ความยั่งยืน ผลกำไรที่เติบโต และการจัดการบุคลากรที่มีประสิทธิภาพ เราพร้อมเป็นที่ปรึกษาและผู้จัดฝึกอบรมให้กับคุณ 

สามารถติดต่อเพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือแจ้งความต้องการในการให้คำปรึกษาและฝึกอบรมได้ตามช่องทางดังต่อไปนี้:

  • โทร: 081-8476479

  • LINE ID: naitakeab

  • Email: rightway.mgt@gmail.com

หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา:

วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2568

ลดความผิดพลาดในคลังสินค้าด้วย "หลักการ 1-1-1 Location"


ทำไมการหยิบผิด (Picking Error) ถึงยังเป็นปัญหาใหญ่?

ในโลกของการจัดการคลังสินค้า (Warehouse Management) ความผิดพลาดเล็กน้อยอาจนำไปสู่ความเสียหายใหญ่หลวงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "การหยิบสินค้าผิด" (Picking Error) ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความพึงพอใจของลูกค้าและต้นทุนการดำเนินงาน หลายครั้งที่เราพบว่าสินค้าหลายรหัส (SKU) ถูกวางปะปนกันในตำแหน่งจัดเก็บเดียว หรือสินค้าประเภทเดียวกันแต่ต่าง Lot ถูกวางทับซ้อนกัน ทำให้พนักงานสับสนและเกิดความผิดพลาดในการหยิบ

วันนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับ "หลักการ 1-1-1 Location" ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการจัดวางสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำ เพื่อมุ่งสู่การจัดการคลังสินค้าแบบ "Zero Error"


หลักการ 1-1-1 Location คืออะไร? (หัวใจสู่ Zero Error)

หลักการ 1-1-1 Location คือการกำหนดมาตรฐานการจัดวางสินค้าอย่างเคร่งครัด เพื่อสร้างความแม่นยำสูงสุดในการระบุและจัดเก็บสินค้า โดยเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์แบบ "หนึ่งต่อหนึ่ง" ขององค์ประกอบทั้งสามอย่างเด็ดขาด:

  1. 1 ที่ตั้ง (1 Location): แต่ละช่องจัดเก็บ หรือพื้นที่บล็อก (Bin/Bay) จะต้องมีป้ายระบุตำแหน่งที่ชัดเจนและมีเอกลักษณ์ ห้ามมี Location ซ้ำซ้อนหรือไม่ชัดเจน

  2. 1 รหัสสินค้า (1 SKU): ในหนึ่งตำแหน่งจัดเก็บ (1 Location) จะต้องมีสินค้าเพียงแค่รหัสสินค้าเดียวเท่านั้น (ห้ามปะปนรหัสสินค้าอื่นเด็ดขาด) นี่คือหัวใจสำคัญในการลดความสับสนและข้อผิดพลาดในการหยิบ

  3. 1 พาเลท (1 Pallet): สินค้าที่อยู่ใน Location นั้น จะต้องวางอยู่บนพาเลท หรือเป็นหน่วยจัดเก็บหลัก เพียงหนึ่งหน่วยต่อหนึ่ง Lot/สถานะ เพื่อป้องกันการนำสินค้า Lot เก่า Lot ใหม่ หรือสินค้าต่างสถานะ (เช่น สินค้า Hold, สินค้าชำรุด) มาวางซ้อนทับกันใน Location เดียวกันโดยไม่ได้แยกพาเลทอย่างชัดเจน

นัยสำคัญของ 1-1-1 คือ: 1 Location (ไม่สับสน) 1 SKU (ไม่ปะปน) 1 Pallet (ไม่ซ้อนทับ Lot/สถานะ)


ผลลัพธ์ที่ได้รับจากการใช้หลักการ 1-1-1 Location

การนำหลักการนี้มาใช้อย่างเคร่งครัด ไม่ได้แค่ช่วยจัดระเบียบคลังสินค้าเท่านั้น แต่ยังให้ประโยชน์ที่วัดผลได้ในหลายมิติ:

  • ป้องกันการหยิบผิดพลาด (Picking Error) ลดลง: พนักงานมั่นใจได้ว่า Location ที่ระบุในการหยิบ มีแค่สินค้าที่ต้องการเท่านั้น ไม่ต้องตรวจสอบความแตกต่างของรหัสสินค้าหรือรุ่นในตำแหน่งนั้น ทำให้การหยิบเร็วขึ้นและถูกต้อง ลดโอกาสการส่งสินค้าผิดพลาดถึงมือลูกค้า

  • เพิ่มความแม่นยำในการนับ (Counting Accuracy): เมื่อ 1 Location มีเพียง 1 SKU และ 1 พาเลท การทำ Cycle Count (การตรวจนับสินค้าเป็นรอบ) จะมีประสิทธิภาพสูงขึ้นมาก ไม่ต้องกังวลว่าสินค้าจะซ่อนอยู่ ปะปนกัน หรือนับ Lot ผิด การนับสินค้าในแต่ละ Location จึงแม่นยำและรวดเร็ว ข้อมูลสต็อกตรงกับความเป็นจริงมากขึ้น

  • ลดความล่าช้า/ลดสินค้าปะปนกัน: ป้องกันปัญหาการนำสินค้าที่คล้ายกันมาวางปะปนกันโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของความผิดพลาดในการจัดส่งและสูญเสียเวลาในการค้นหา


กรณีที่ต้องใช้พื้นที่ทับซ้อน (Multi-SKU Location) และข้อควรระวัง

แม้ว่าหลักการ 1-1-1 Location จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่ในทางปฏิบัติ บางคลังสินค้าอาจมีข้อจำกัดด้านพื้นที่หรือลักษณะสินค้าที่ต้องมีการจัดเก็บแบบทับซ้อน (เช่น สินค้าขนาดเล็กมากที่เก็บในช่องเดียวหลายรหัส)

หากจำเป็นต้องอนุโลมให้เกิดการจัดเก็บแบบทับซ้อน ผู้บริหารคลังสินค้าต้องมีมาตรการควบคุมที่เข้มงวดเป็นพิเศษ ดังนี้:

  • ตัวบ่งชี้ชัดเจน: กำหนดให้มีการวางสินค้าต่างรหัสใน Location เดียวกันได้ เฉพาะเมื่อ มีเอกสาร/ป้าย/Tag ที่ชัดเจน สำหรับ ทุกรหัสสินค้า ที่วางอยู่ในนั้น และระบุจำนวนคงคลังในแต่ละรหัสอย่างแยกส่วน

  • บันทึกทันที (Real-Time Transaction): การเคลื่อนไหวของสินค้าทั้งหมด (รับเข้า, ย้าย, เบิกออก) ต้องถูกนำเข้าสู่ระบบจัดการคลังสินค้า (WMS - Warehouse Management System) แบบเรียลไทม์ (Real-Time Transaction) เพื่อไม่ให้เกิดความคลาดเคลื่อนของข้อมูลสต็อก การอัปเดตข้อมูลล่าช้าเพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่การหยิบผิดหรือสินค้าขาดสต็อกได้


ก้าวแรกสู่คลังสินค้าประสิทธิภาพสูง

"หลักการ 1-1-1 Location" ไม่ใช่เพียงแค่กฎการจัดวาง แต่เป็นรากฐานสำคัญในการสร้างวินัยและความแม่นยำให้กับกระบวนการจัดการคลังสินค้าทั้งหมด หากคุณต้องการลด Picking Error, เพิ่มความแม่นยำของสต็อก, และลดต้นทุนการทำงานซ้ำซ้อน การเริ่มต้นจากการปฏิบัติตามหลักการ 1-1-1 Location อย่างเคร่งครัด ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุดสู่การเป็นคลังสินค้าที่มีประสิทธิภาพสูงและเป็นเลิศในการบริการลูกค้าครับ!


  • คุณมีคำถามเกี่ยวกับการจัดการคลังสินค้าเพิ่มเติมหรือไม่? แชร์ประสบการณ์ของคุณในช่องคอมเมนต์ด้านล่างได้เลย!

  • องค์กรของคุณใช้หลักการนี้อยู่หรือไม่? เล่าสู่กันฟังหน่อยว่าผลเป็นอย่างไรบ้าง!

  • สนใจการฝึกอบรม หรือยกระดับการทำงานคลังสินค้าให้มีประสิทธิภาพ แบบเจาะลึก ติดต่อเราได้ที่ https://rightwayhub.com  หรือแจ้งความต้องการในการฝึกอบรม ได้ที่ https://rightwayhub.com/training 

    มงคล พัชรดำรงกุล
    โทร:
     081-8476479 | LINE ID: naitakeab | Email: rightway.mgt@gmail.com

วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2568

Plants & Plant: ถอดรหัสประสิทธิภาพและความยั่งยืน 2 เสาหลัก จากกิจกรรมใกล้ตัว


บทเรียนจากกิจกรรมวันหยุด : Asset Management Efficiency" เกิดได้ทุกที่

ในฐานะที่ปรึกษาที่คลุกคลีกับการปรับปรุงประสิทธิภาพและคุณภาพในโรงงานอุตสาหกรรมมาอย่างยาวนาน ผมมักจะมองหาหลักการบริหารจัดการซ่อนอยู่ในกิจวัตรประจำวัน เมื่อวานนี้ ผมได้มีโอกาสใช้เวลาในการจัดการสวนของตัวเอง ในระหว่างวันหยุด ซึ่งประกอบด้วย 2 กิจกรรมหลักที่สะท้อนการบริหารจัดการองค์กรที่ยั่งยืน:

  1. Big Cleaning: การจัดการกับพื้นที่รกและสิ่งที่ผิดปกติ (Abnormal) เพื่อสร้าง ประสิทธิภาพ (Efficiency)

  2. Asset Investment & Replacement: การปลูกต้นไม้ใหม่ 20 ต้น เพื่อขยายกำลังการผลิตด้าน ความยั่งยืน (Sustainability)

ผมเห็นภาพชัดเจนว่า "ต้นไม้" ไม่ต่างอะไรกับ "เครื่องจักรที่มีชีวิต" ที่มีหน้าที่ผลิต "คุณค่าด้านสิ่งแวดล้อม" ที่สำคัญต่ออนาคตของโลกธุรกิจ: การดูดซับคาร์บอนและผลิตออกซิเจน บทความนี้จะถอดรหัสกิจกรรมในสวน เพื่อแสดงให้เห็นถึงปรัชญา Plants & Plant ว่าโรงงานของคุณจะผสานสองเสาหลักนี้เข้าด้วยกันได้อย่างไร"


Part 1: การจัดการ "ความรก" ในสวน – เสาหลักด้านประสิทธิภาพ (Efficiency)

การจัดการกับพื้นที่ที่ถูกปล่อยปละละเลยจนหญ้ารก ถือเป็นการจัดการกับ ความผิดปกติ (Abnormal Condition) และ ความสูญเปล่า (Waste) ซึ่งเป็นพื้นฐานของการเพิ่มประสิทธิภาพตามหลัก Lean

1.1 การกำจัดความสูญเปล่าด้วยหลัก 5ส: หัวใจของการผลิตแบบลีน (Lean)

  • ความสูญเปล่าที่ซ่อนอยู่ (Hidden Waste): หญ้ารก กิ่งไม้แห้ง คือ ความสูญเปล่าด้านพื้นที่ และ ความเสี่ยง ที่หากปล่อยไว้จะบดบังปัญหาที่ใหญ่กว่า เช่น ท่อระบายน้ำที่อุดตัน

  • 5ส คือการสร้างมาตรฐาน: การทำ Big Cleaning จึงเป็นการประยุกต์ใช้หลัก 5ส (สะสาง, สะดวก, สะอาด) เพื่อสร้าง สภาพแวดล้อมมาตรฐาน (Standard Condition) ที่ปลอดภัยและเอื้อต่อการทำงาน

  • ในโรงงาน: เราเน้นย้ำเสมอว่า 5ส คือ เครื่องมือ ในการค้นหาและกำจัดความสูญเปล่าตามหลัก Lean Management ช่วยลดเวลาในการค้นหา (Waiting Waste) ลดความผิดพลาดในการทำงาน และลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยอย่างมีระบบ

1.2 การบริหาร Asset Integrity และการคืนสภาพ

  • การสูญเสียกำลังการผลิต: ต้นไม้ที่ตายไป คือ Asset Failure หรือ เครื่องจักรที่หยุดทำงาน การคืนสภาพพื้นที่และปลูกใหม่จึงเป็น การซ่อมบำรุงเชิงแก้ไข (Corrective Maintenance) ที่สำคัญ

  • การคืนสภาพ (Abnormal Correction): คือกระบวนการที่ไม่ได้แค่ "ซ่อม" แต่ต้องนำสินทรัพย์กลับมาสู่สภาพที่ดีที่สุดหรือดีกว่าเดิม ซึ่งคือหัวใจของ Reliability Engineering ที่มุ่งรักษาความสมบูรณ์ของสินทรัพย์ (Asset Integrity)

ข้อคิดสำคัญ: โรงงานที่มีประสิทธิภาพสูงจะต้องมีวินัยในการจัดการกับ "ความผิดปกติ" เล็กๆ น้อยๆ อย่างทันท่วงที เพื่อไม่ให้ลุกลามจนส่งผลกระทบต่อสายการผลิตและความปลอดภัย


Part 2: ปลูก 20 ต้น – เสาหลักด้านความยั่งยืน (Sustainability) และ ESG

การแบ่งเวลาส่วนหนึ่ง เพื่อการตัดสินใจปลูกต้นไม้ใหม่ 20 ต้น บนพื้นบานของความสามารถและทรัพยากรที่มีในวันนั้น ถือเป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่สร้างผลตอบแทนด้านสิ่งแวดล้อมที่วัดผลได้ ซึ่งเป็นแกนหลักของการดำเนินธุรกิจตามแนวคิด ESG

2.1 ต้นไม้: สินทรัพย์สีเขียวที่สร้าง Carbon Offset

  • การขยายกำลังการผลิต: ต้นไม้แต่ละต้นคือเครื่องจักรที่เพิ่ม "กำลังการผลิตด้านสิ่งแวดล้อม"

    • การคำนวณมูลค่า: ถ้าต้นไม้ 1 ต้นดูดซับ CO2 ได้เฉลี่ย กิโลกรัม/ปี การปลูก ต้น ทำให้เราสามารถชดเชยคาร์บอนได้รวม กิโลกรัมต่อปี นี่คือมูลค่าด้าน CO2 ที่ชัดเจน

  • การบริหาร Carbon Offset: การลงทุนใน Asset สีเขียว เช่น ต้นไม้ การติดตั้ง Solar Rooftop หรือการเปลี่ยนไปใช้เครื่องจักรประหยัดพลังงานในโรงงาน คือการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันภายใต้เป้าหมาย Net Zero Emission ของโลก

2.2 การเปลี่ยนกิจกรรม ESG ให้เป็น KPIs ที่วัดผลได้จริง

  • ยกระดับจากการทำดีสู่การรายงาน: โรงงานยุคใหม่ไม่สามารถทำกิจกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมโดยปราศจากการวัดผลได้อีกต่อไป การคำนวณปริมาณคาร์บอนที่ดูดซับได้นี้ ช่วยเปลี่ยนกิจกรรมเชิงบวกให้กลายเป็น ตัวชี้วัดผลงานหลัก (KPIs)

  • Asset Lifecycle Management for ESG: เช่นเดียวกับการดูแลเครื่องจักร การปลูกต้นไม้ก็ต้องมีการบำรุงรักษาและติดตามการเติบโตอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าสินทรัพย์สีเขียวนี้สามารถสร้างมูลค่าและตอบโจทย์การรายงานผลด้าน Sustainability Reporting ได้อย่างโปร่งใส


ผสานสองเสาหลักเพื่อการเติบโตที่มั่นคง

ประสบการณ์ที่สวนยืนยันปรัชญาการบริหารองค์กรที่ผมเชื่อมั่น: ประสิทธิภาพและความยั่งยืน ต้องเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน องค์กรที่เข้าใจปรัชญา 'Plants & Plant' อย่างชาญฉลาด—ย่อมสามารถสร้างผลกำไรในปัจจุบัน พร้อมสร้างความมั่นคงและภาพลักษณ์ที่ยั่งยืนสำหรับอนาคต"

การจัดการสวนของเราสอนว่า:

  1. ต้องมีวินัย: ในการจัดการความผิดปกติ (5ส และ PM เชิงรุก) เพื่อรักษา ประสิทธิภาพ การดำเนินงาน

  2. ต้องลงทุนอย่างชาญฉลาด: ในสินทรัพย์ที่สร้างผลกระทบเชิงบวก (Asset สีเขียว) เพื่อสร้าง ความยั่งยืน ให้กับองค์กรในระยะยาว

องค์กรที่สามารถมอง "ต้นไม้" และ "เครื่องจักร" เป็นสินทรัพย์ที่ต้องบริหารจัดการด้วยความมุ่งมั่นเท่าเทียมกัน จะเป็นองค์กรที่สามารถคว้าโอกาสทางธุรกิจและเติบโตได้อย่างมั่นคงภายใต้แรงกดดันด้าน ESG ในตลาดโลกยุคปัจจุบัน

หากคุณสนใจที่จะ:

  • เปลี่ยนกิจกรรม 5ส ให้เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ในการค้นหาและกำจัดความสูญเปล่า

  • วางแผนการบริหารสินทรัพย์ (Asset Management) ที่ผสานเป้าหมายด้าน ESG อย่างเป็นรูปธรรม

  • กำหนด KPIs ด้านความยั่งยืนที่วัดผลได้จริง

  • การบริหารจัดการเครื่องจักรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

เพื่อรับการฝึกอบรมและคำปรึกษาที่เจาะลึกด้าน Lean, Asset Management, และ Sustainability Strategy 

สามารถติดต่อเราเพื่อปรึกษาหรือขอรายละเอียดหลักสูตร In-House Training ที่ปรับเนื้อหาตามบริบทธุรกิจของคุณโดยเฉพาะ

สนใจยกระดับการทำงานให้มีประสิทธิภาพติดต่อเราได้ที่ https://rightwayhub.com
สนใจการฝึกอบรมแบบ In-house Training แจ้งความต้องการได้ที่ https://rightwayhub.com/training

มงคล พัชรดำรงกุล
โทร:
 081-8476479 | LINE ID: naitakeab | Email: rightway.mgt@gmail.com

วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2568

ผ่ากลยุทธ์ 4 แกน : ยกเครื่อง "สินค้าคงคลัง" สู่ความเป็นเลิศ (ลดต้นทุน เพิ่มกำไรอย่างยั่งยืน)

มาช่วยกันพลิก Inventory จาก "ปัญหา" สู่ "ขุมพลัง" 💡

ในฐานะผู้ดำเนินงานและบริหารจัดการซัพพลายเชน เราทราบดีว่า สินค้าคงคลัง (Inventory) คือ สินทรัพย์หมุนเวียน ที่ถูกจัดเก็บไว้เพื่อตอบสนองลูกค้า แต่มีมากเกินไปก็เงินจม-น้อยเกินไปก็เสี่ยงตอบสนองไม่พอ  การควบคุมและบริหารจัดการที่ผิดพลาดส่งผลต่อกำไรทันที

บทความนี้จึงขอถ่ายทอด 4 แกนหลักเชิงกลยุทธ์ ที่จะทำให้คุณควบคุมสินค้าคงคลังได้อย่างมืออาชีพ "ในทุกๆจุด ทุกประเภทสินค้าคงคลัง " ตามหลักการบริหารจัดการประสิทธิภาพสูงสุด


1. แกนหลักที่ 1: การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์และการจัดกลุ่ม (Strategic Analysis & Inventory Classification)

ประสิทธิภาพเริ่มต้นที่ความเข้าใจใน "ประเภท" และ "มูลค่า" ของสิ่งที่เราถือครองอยู่ ไม่ใช่การจัดการแบบเหมาเข่ง

1.1 ต้องวิเคราะห์หลายมิติ: เครื่องมือต้องมากกว่า ABC Classification

การพึ่งพาแค่ ABC Analysis (จัดกลุ่มตามมูลค่าการใช้) นั้นไม่เพียงพอต่อการควบคุมความเสี่ยงอย่างรอบด้าน เราต้องใช้การวิเคราะห์หลายมิติ อาทิเช่น:

  • VED Analysis (Vital, Essential, Desirable): ใช้วัด ความสำคัญ เพื่อเป็นเกณฑ์หลักในการกำหนดระดับ Safety Stock (SS)

  • HML Analysis (High, Medium, Low): วิเคราะห์ตาม ราคาต่อหน่วย เพื่อให้ฝ่ายจัดซื้อสามารถควบคุม ต้นทุนจัดซื้อ และกำหนดอำนาจการอนุมัติ

  • SDE Analysis (Scarce, Difficult, Easy): วิเคราะห์ตาม ความยากง่ายในการจัดหา เพื่อวางแผนการสั่งซื้อล่วงหน้าสำหรับสินค้าที่มี Lead Time (LT) ยาวนาน

1.2 โครงการเริ่มต้นที่สร้างผลกระทบสูงสุด (Quick Win Project)

  • ดำเนินการตรวจสอบและ ลด Stock ที่ไม่ใช้งาน (Non-Moving Stock) ทันที เพื่อปลดล็อกเงินทุนที่จมอยู่ให้กลับมาหมุนเวียน


2. แกนหลักที่ 2: การควบคุมพื้นที่ปฏิบัติการและ WIP (WIP & Operation Control)

ความสูญเปล่าที่ซ่อนอยู่มักเกิดในพื้นที่ปฏิบัติการและสินค้าที่อยู่ระหว่างผลิต (Work In Process)

2.1 กำจัดความสูญเปล่าใน WIP

  • ลด Loss/Damage: โฟกัสที่ โครงการลด WIP และต้นทุน โดยเฉพาะการลดความสูญเสียจากการรอคอย (Waiting) และการขนถ่าย (Handling) ซึ่งเป็นต้นทุนแฝงที่ไม่มีใครอยากจ่าย

  • ใช้ระบบ Pull (KANBAN): เปลี่ยนแนวคิดจากการผลักสินค้าเข้าสู่กระบวนการถัดไป เป็นการใช้ ระบบดึง เพื่อ กำหนดและควบคุมระดับ Stock Level ให้แต่ละขั้นตอนผลิตเฉพาะเมื่อมีความต้องการจริง ๆ เท่านั้น

2.2 ปรับปรุงสภาพแวดล้อมคลังสินค้า

  • Layout Optimization: ดำเนินการ โครงการปรับ Lay-out เพื่อให้การไหลของวัสดุ (Material Flow) เป็นไปอย่างราบรื่น ลดระยะทางการเคลื่อนย้ายและเวลาในการค้นหา (Picking Time)


3. แกนหลักที่ 3: การสั่งซื้อที่แม่นยำและเป็นระบบ (Precision Procurement Strategy)

การจัดซื้อคือจุดที่เงินทุนไหลออกจากบริษัท การควบคุมจุดนี้อย่างเข้มงวดจึงสำคัญที่สุด

3.1 การพยากรณ์ คือ รากฐานความสำเร็จ

  • Forecasting Accuracy: พัฒนาตัวแบบที่เหมาะสมสำหรับ การเพิ่มความแม่นยำของการประมาณความต้องการ ข้อมูลที่แม่นยำจะนำไปสู่การคำนวณ ROP (จุดสั่งซื้อ) และ Q (ปริมาณการสั่งซื้อ) ที่ถูกต้อง

3.2 จัดการตัวแปรสำคัญในการสั่งซื้อ

เราต้องควบคุมปัจจัยสำคัญทั้งหมดในการสั่งซื้อ:

  • ลด Lead Time (LT): ดำเนินการ โครงการลดระยะเวลาในการจัดซื้อ/จัดหา/ตรวจสอบ เพราะ LT ที่สั้นลงหมายถึงความจำเป็นในการเก็บ Safety Stock ที่ลดลง ต้นทุกนก็ลดลง ส่วน Cash flow ก็จะดีขึ้น

  • กำหนดปริมาณสั่งซื้อ (Q): ใช้หลักการ EOQ (Economic Order Quantity) เพื่อหาปริมาณที่สมดุลระหว่างต้นทุนการสั่งซื้อและต้นทุนการเก็บรักษา หรือพัฒนาตัวแบบการกำหนดการสั่งซื้อที่เหมาะสม ที่ไม่ได้พิจารณาแค่ต้นทุนสั่งซื้อและต้นทุนการเก็บ และถูกจริตกับองค์กรของคน

  • บริหารความเสี่ยงของ Supplier: กำหนดให้มีการวัดผลและพัฒนาด้วย โครงการเพิ่มความน่าเชื่อถือด้วย S-DIFOT (Supplier Delivery In Full On Time)


4. แกนหลักที่ 4: การติดตามผลและการขับเคลื่อนด้วย KPI (Tracking & KPI Governance)

กลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมต้องได้รับการวัดผลและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

4.1 พัฒนาระบบรับ-จ่าย

  • บูรณาการระบบ: พิจารณาการพัฒนาระบบรับ-จ่ายที่ทันสมัย เช่น JIT, Cross Dock, VMI (Vendor Managed Inventory) หรือ Consignment เพื่อลดภาระการถือครองสินค้าในคลังขององค์กรให้น้อยที่สุด

4.2 ตัวชี้วัดที่ต้องติดตาม

กำหนด ตัวชี้วัดผลงานหลัก (Key KPIs) ที่สะท้อนประสิทธิภาพของระบบ Inventory Management:

  • อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงคลัง (Inventory Turnover): วัดความเร็วในการขายสินค้า

  • ความแม่นยำของการนับสต็อก (Stock Accuracy): วัดความน่าเชื่อถือของข้อมูลในระบบ

  • อัตราสินค้าขาดสต็อก (Stock Out Rate): วัดความเสี่ยงและโอกาสที่เสียไปในการขาย

การควบคุม Inventory คือการควบคุมอนาคต

การควบคุมสินค้าคงคลังใน 4 แกนหลัก นี้อย่างมีประสิทธิภาพ จะเปลี่ยนภาพลักษณ์ขององค์กรคุณให้เป็นผู้นำด้านการจัดการต้นทุนและความยืดหยุ่น นี่คือ ความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ ที่ไม่มีใครสามารถลอกเลียนแบบได้

🎯 พร้อมที่จะยกระดับทีมงานของคุณสู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน Inventory Management แล้วหรือยัง?

ติดต่อเราเพื่อปรึกษาหรือขอรายละเอียดหลักสูตร In-House Training ที่ปรับเนื้อหาตามบริบทธุรกิจของคุณโดยเฉพาะ

โทร: 081-8476479 | LINE ID: naitakeab | Email: rightway.mgt@gmail.com

สนใจยกระดับการทำงานให้มีประสิทธิภาพ ติดต่อเราได้ที่ https://rightwayhub.com
สนใจการฝึกอบรมแบบ In-house Training แจ้งความต้องการได้ที่ https://rightwayhub.com/training

วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2568

"สถาปนิก AI" ผู้ออกแบบและควบคุมระบบย่อมเหนือกว่าผู้ใช้งาน

เมื่อ AI คือเครื่องมือ...แล้วใครคือสถาปนิก?

ในยุคที่ AI เข้าถึงง่าย ใครๆ ก็ใช้ ChatGPT หรือ Gemini ได้อย่างรวดเร็ว การแข่งขันจึงไม่ได้อยู่ที่เครื่องมือ แต่อยู่ที่ฝีมือของผู้ออกแบบระบบ

เราได้ข้อสรุปที่ชัดเจนแล้วว่า AI เป็นเพียง เครื่องมือ (Tool) ที่ทรงพลังอย่างยิ่ง แต่ขาด เจตนา และ ความเชี่ยวชาญ ในตัวมันเอง

ความได้เปรียบที่แท้จริงจึงตกอยู่กับ "สถาปนิก AI" – ผู้ที่สามารถ ถ่ายทอดความเชี่ยวชาญและข้อมูลลับ ของตนเองไปสู่ระบบ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย บทความนี้จะแสดง 3 ขั้นตอนสำคัญในการเปลี่ยนจากผู้ใช้ไปสู่การเป็นสถาปนิก AI

ขั้นตอนที่ 1: ใช้ AI เป็นผู้ช่วยจัดการงานน่าเบื่อ (The AI Sidekick)

นี่คือก้าวแรกที่ทุกคนต้องเริ่ม ใช้ AI สำเร็จรูป เพื่อกำจัดงานซ้ำซากออกไปจากชีวิต

  • สิ่งที่ AI ทำแทนคุณ: สรุปเอกสารยาวๆ, ร่างอีเมล, ช่วยเขียนโค้ด Python/SQL เบื้องต้นสำหรับการจัดเตรียมข้อมูล

  • ทักษะที่จำเป็น: Prompt Engineering พื้นฐาน – คุณต้องสั่งงานได้ชัดเจนและรู้ขีดจำกัดของ AI เพื่อให้คุณมีเวลาไปใช้สมองกับ การตีความ Insight

  • แก่น: ถ้าคุณไม่ใช้ AI ในการทำงาน คุณไม่ได้แข่งกับเพื่อนร่วมงาน แต่คุณกำลังแข่งกับเพื่อนร่วมงานที่มี AI ช่วยอยู่ข้างๆ

ขั้นตอนที่ 2: เป็นผู้พัฒนา AI โดยการสร้าง 'ห้องสมุดความเชี่ยวชาญ' (The Strategic Leap)

นี่คือหัวใจของการแข่งขัน: การสร้างระบบ RAG (Retrieval-Augmented Generation) เพื่อถ่ายทอดความรู้ลับเฉพาะองค์กรไปสู่ AI โดยมีบทบาท และ Action ดังนี้

  • ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา: สร้าง 'ตำราลับ': ต้องรู้ว่าข้อมูลลับ (แผนกลยุทธ์, รายงานคู่แข่ง, ข้อมูลต้นทุน) อยู่ที่ไหน และใช้ Python/Data Engineering จัดโครงสร้างเพื่อเก็บใน Vector Database

  • ผู้ควบคุมระบบ: เขียนโค้ดเชื่อมต่อ: ใช้ Frameworks อย่าง LangChain เพื่อเป็น "ตัวควบคุม" ให้ AI อ่านข้อมูลจากห้องสมุดส่วนตัวนี้ก่อนตอบคำถามเสมอ

  • ผู้กำหนดบทบาท: ใช้ Prompt Engineering ขั้นสูง เพื่อกำหนดให้ AI สวมบทบาทเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ที่เข้าใจเงื่อนไขและข้อจำกัดภายในของบริษัทคุณเท่านั้น

โดยทักษะที่จำเป็น: Python Programming (สำคัญที่สุด), Data Engineering, และ Vector Database Management

แก่น: AI ที่เก่งที่สุดคือ AI ที่รู้ความลับของคุณที่สุด การเขียนโค้ดคือ ตัวควบคุม ที่ทำให้คุณสร้างระบบ AI ที่มี ฐานความรู้เฉพาะตัว ที่ใครก็ลอกเลียนแบบไม่ได้

ขั้นตอนที่ 3: สร้างรั้วกั้นข้อมูล 'ป้อมปราการ AI' (The Security Foundation)

นี่คือการสร้าง โครงสร้างความปลอดภัย ที่ควบคุมการเข้าถึงข้อมูลทั้งหมด ซึ่งจำเป็นต้องใช้ทักษะและโค้ดในการตั้งค่าระบบ

A. การควบคุมการไหลของข้อมูล

  • เลิกใช้ช่องทางสาธารณะ: ห้ามป้อนข้อมูลลับผ่าน Chatbot ทั่วไป แต่ต้องใช้ Enterprise APIs (เช่น Gemini API) ที่มีสัญญารับประกัน ไม่นำข้อมูลไปฝึกฝนโมเดล

  • เก็บข้อมูลไว้ในบ้าน: ตำราลับ (Vector Database) และระบบ RAG ทั้งหมดต้องติดตั้งอยู่ใน Private Cloud (VPC) หรือ Server ภายในขององค์กร เท่านั้น

B. ทักษะและโค้ดเพื่อควบคุมความปลอดภัย

  • Cloud Security & Networking: ทักษะในการตั้งค่า Firewall และควบคุม Traffic ทั้งหมด เพื่อให้แน่ใจว่าการสื่อสารระหว่างองค์กรกับ LLM API เป็นไปอย่างปลอดภัย

  • API Management & IAM: ต้องเขียนโค้ด หรือใช้เครื่องมือเพื่อจัดการสิทธิ์การเข้าถึง (IAM) เพื่อให้มีเพียงระบบที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่ส่งข้อมูลลับเข้าสู่ระบบ AI ได้

ทักษะที่จำเป็น: Cloud Security, API Management, และ Data Governance

แก่น: การลงทุนในทักษะเหล่านี้คือการลงทุนใน ความสามารถในการควบคุม และ ความมั่นใจด้านความปลอดภัย ที่จะทำให้ AI ของคุณทรงพลังโดยไม่สร้างความเสี่ยง

บทสรุป: AI คือตัวขยายความเชี่ยวชาญ ไม่ใช่ผู้สร้าง

AI เป็นเพียง ตัวขยาย (Amplifier) ความเชี่ยวชาญของมนุษย์ ยิ่งสถาปนิก AI มีความเชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเท่าไหร่ ความสามารถในการออกแบบระบบและกำหนดบทบาทให้ AI ก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น

โดยสรุปแล้ว การยกระดับสู่ "สถาปนิก AI" และการสร้าง Insight Value จากข้อมูลองค์กรได้อย่างปลอดภัยนั้น จำเป็นต้องเขียนโค้ดเป็น เพื่อใช้ ควบคุม การไหลของข้อมูล การเข้าถึง AI และการสร้างระบบรักษาความปลอดภัย

'สถาปนิก AI' ผู้ออกแบบและควบคุมระบบย่อมเหนือกว่าผู้ใช้งาน เพราะเขาคือผู้สร้างอาวุธลับที่ทรงพลังและไว้ใจได้

คุณพร้อมที่จะยกระดับความเชี่ยวชาญของคุณไปสู่การเป็นสถาปนิก AI แล้วหรือยัง?

มงคล พัชรดำรงกุล
วิทยากรที่ปรึกษาธุรกิจ, บริษัท ไรท์เวย์ แมนเนจเมนท์จำกัด

สนใจยกระดับการทำงานให้มีประสิทธิภาพ ติดต่อเราได้ที่ https://rightwayhub.com
สนใจการฝึกอบรมแบบ In-house Training แจ้งความต้องการได้ที่ https://rightwayhub.com/training

วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2568

ปลดล็อกศักยภาพการผลิต: OEE Digital Expert กุญแจสู่โรงงานอัจฉริยะใน 3 วัน!

ในโลกธุรกิจที่การแข่งขันสูงขึ้นทุกวัน ประสิทธิภาพการผลิต (Productivity) คือเส้นแบ่งระหว่างผู้นำและผู้ตาม องค์กรของคุณกำลังมองหาวิธี "เปลี่ยนเครื่องจักรที่ผลิตสินค้า" ให้กลายเป็น "เครื่องจักรผลิตเงิน" อยู่ใช่หรือไม่? คำตอบอยู่ที่การประยุกต์ใช้ OEE (Overall Equipment Effectiveness) ร่วมกับ Digital Technology อย่างชาญฉลาด!

วันพุธที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2568

หยุดเลือดไหล! กับกลยุทธ์ Lean Logistics เพื่อเพิ่มกำไรให้ธุรกิจ

ทำไมต้นทุนโลจิสติกส์ของคุณถึงพุ่งสูงขึ้น?

ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจรุนแรงและต้นทุนผันผวน "ต้นทุนโลจิสติกส์" ได้กลายเป็นหนึ่งในค่าใช้จ่ายหลักที่กัดกินกำไรขององค์กรอย่างเงียบๆ ผู้บริหารหลายท่านอาจมองเห็นแค่ค่าขนส่ง ค่าเช่าคลังสินค้า ค่าจัดเก็บสินค้าคงคลัง หรือค่าแรงงาน แต่ความจริงคือยังมี "ความสูญเปล่า" (Waste หรือ Muda ตามหลักการ Lean) ที่ซ่อนตัวอยู่ในทุกขั้นตอนของกระบวนการ

ความสูญเปล่าเหล่านี้ไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าหรือบริการเลย แต่มันกลับทำให้คุณต้องจ่ายเงินมากขึ้น เสียเวลามากขึ้น และทำให้ลูกค้าได้รับสินค้าช้าลง

ถึงเวลาแล้วที่จะใช้หลักการ Lean Logistics ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วทั่วโลก เพื่อเปลี่ยน 'ค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น' ให้กลายเป็น 'กำไร' ที่ยั่งยืน

8 ความสูญเปล่า (Wastes) ตัวการสำคัญที่ต้องรีบกำจัด

ตามแนวคิด Lean ในงานโลจิสติกส์ ความสูญเปล่าที่ต้องค้นหาและกำจัดให้หมดไป มีดังนี้:

  1. D - Defect (ของเสีย/ข้อผิดพลาด): การส่งสินค้าผิดรุ่น ผิดจำนวน หรือสินค้าชำรุดจากการขนย้ายที่ไม่ได้มาตรฐาน

  2. O - Overproduction (ผลิต/จัดเตรียมมากเกินไป): การจัดเตรียมพื้นที่หรือบรรจุหีบห่อที่เกินความจำเป็น หรือการสั่งซื้อวัตถุดิบเกินความต้องการ

  3. W - Waiting (การรอคอย): การที่รถขนส่งต้องรอโหลด/อันโหลด, พนักงานรอเอกสาร, หรือสินค้ารอการจัดเก็บ

  4. N - Non-Utilized Talent (ไม่ได้ใช้ทักษะของพนักงาน): การที่พนักงานที่มีความคิดดีๆ ไม่ได้รับโอกาสในการนำเสนอไอเดียปรับปรุงงาน (Kaizen)

  5. T - Transportation (การขนส่งที่ไม่จำเป็น): การเคลื่อนย้ายสินค้าระหว่างคลัง หรือการขนส่งหลายเที่ยวในเส้นทางเดียวกันโดยไม่รวมของ

  6. I - Inventory (สินค้าคงคลังเกินจำเป็น): สต็อกที่มากเกินไป ซึ่งเป็นต้นทุนในการเก็บรักษา และมีความเสี่ยงต่อการล้าสมัยหรือเสียหาย

  7. M - Motion (การเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็น): การเดินหาสินค้าในคลังที่ใช้เวลานาน, การจัดเรียงที่ไม่สะดวกต่อการหยิบ, หรือการทำงานที่ต้องเอื้อม/ก้มมากเกินไป

  8. E - Excess Processing (กระบวนการที่เกินความจำเป็น): การตรวจสอบซ้ำซ้อน, การบรรจุหีบห่อที่ซับซ้อนเกินไป, หรือการทำรายงานที่ไม่สร้างมูลค่า

การมองเห็นความสูญเปล่าเหล่านี้คือจุดเริ่มต้นของการลดต้นทุนอย่างแท้จริง!

Lean Strategies: กุญแจสู่การลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ

เมื่อทราบแล้วว่าความสูญเปล่าคืออะไร ขั้นตอนต่อไปคือการนำกลยุทธ์ Lean Logistics มาใช้ในการแก้ไข:

  • 1. การใช้ Value Stream Mapping (VSM): เครื่องมือสำคัญในการ "วาด" แผนผังกระบวนการทั้งหมด เพื่อระบุว่ากิจกรรมใดสร้างมูลค่า (Value-Added) และกิจกรรมใดเป็นความสูญเปล่าที่ต้องกำจัด

  • 2. Just-in-Time (JIT), Pull System และ VMI: ปรับปรุงการจัดการสินค้าคงคลังให้มีการส่งมอบวัตถุดิบหรือสินค้าสำเร็จรูป "ทันเวลาพอดี" ตามความต้องการจริง เพื่อลดระดับสต็อกส่วนเกินในคลัง

  • 3. Route & Load Optimization: ใช้เทคโนโลยีในการวางแผนเส้นทางการขนส่งให้มีประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงการรวมสินค้าในรถ (Load Consolidation) และการใช้ประโยชน์จากการวิ่งรถเที่ยวเปล่า (Back Haul)

  • 4. Warehouse Layout & Automation: ออกแบบผังคลังสินค้าใหม่เพื่อลดระยะทางการเดินหาสินค้า (Picking Distance), ใช้พื้นที่จัดเก็บในแนวตั้งให้มากขึ้น, และพิจารณาการใช้ระบบอัตโนมัติ (Automation) ในจุดที่เกิดความสูญเปล่าซ้ำๆ

ถึงเวลาลงมือทำ: พัฒนาบุคลากรให้เป็น "นักลดต้นทุน"

การเปลี่ยนผ่านองค์กรสู่ระบบ Lean Logistics ที่มีประสิทธิภาพและลดต้นทุนได้อย่างยั่งยืนนั้น ไม่สามารถทำได้ด้วยการอ่านบทความเพียงอย่างเดียว แต่ต้องการความเข้าใจในหลักการอย่างลึกซึ้ง การฝึกฝนเครื่องมือ และเทคนิคการนำไปประยุกต์ใช้จริงให้เหมาะกับบริบทของธุรกิจคุณ

บริษัท ไรท์เวย์ แมนเนจมนท์ จำกัด  ซึ่งดำเนินธุรกิจให้คำปรึกษาและฝึกอบรมบุคลากร ให้กับสถานประกอบการที่หลากหลาย พร้อมกรณีศึกษาที่มากมายให้ ภายใต้แนวคิด "Solution is our action" ขอเชิญผู้บริหาร ผู้จัดการ หัวหน้างาน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในสายงานโลจิสติกส์เข้าร่วมหลักสูตร:

หลักสูตร: เทคนิคการลดต้นทุนและความสูญเปล่าในกระบวนการทำงานโลจิสติกส์ (Waste and Cost Reduction Techniques in Logistics)

ในหลักสูตรนี้ คุณจะได้:

  • เรียนรู้การวิเคราะห์โครงสร้างต้นทุนโลจิสติกส์อย่างละเอียด

  • ฝึกใช้เครื่องมือ Lean ระบุประเด็นปัญหาที่ต้องปรับปรุงด้วย VSM 

  • ค้นพบกลยุทธ์การลดต้นทุนในทุกมิติ ทั้งการจัดซื้อ คลังสินค้า และการขนส่ง และกิจกรรมต่างๆ ทั้ง 9 กิจกรรมโลจิสติกส์

  • การทำ Workshop เพื่อนำความรู้ไปใช้ในการสร้างแผนการลดต้นทุนสำหรับองค์กรของคุณได้ทันที

อย่าปล่อยให้ "ความสูญเปล่า" กัดกินกำไรของคุณอีกต่อไป!


สนใจยกระดับการทำงานให้มีประสิทธิภาพ ติดต่อเราได้ที่ https://rightwayhub.com
สนใจการฝึกอบรมแบบ In-house Training แจ้งความต้องการได้ที่ https://rightwayhub.com/training

วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2568

จบปัญหา "สต็อกไม่ตรง"! พลิกโฉมคลังสินค้าให้แม่นยำ 100% ด้วย Mobile Inventory App

ความจริงที่เจ็บปวดของการบริหารสินค้าคงคลัง

ในโลกธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง สินค้าคงคลัง (Inventory) ไม่ได้เป็นเพียงแค่ "ของที่เก็บไว้" แต่เป็นหัวใจสำคัญที่กำหนดกระแสเงินสดและผลกำไรของบริษัท ความแม่นยำของสต็อกคือสิ่งสำคัญที่สุด แต่ทำไมปัญหา "สต็อกคลาดเคลื่อน (Stock Difference)" หรือสต็อกไม่ตรงกับในระบบถึงยังคงเป็นฝันร้ายที่ผู้จัดการคลังสินค้าต้องเผชิญอยู่เสมอ?

สาเหตุหลักมักมาจากกระบวนการทำงานแบบเดิมๆ:

  1. การนับสต็อกด้วยมือ (Manual Counting): การจดบันทึกบนกระดาษและป้อนข้อมูลเข้าสู่ระบบภายหลัง เสี่ยงต่อความผิดพลาดของมนุษย์ (Human Error) สูงมาก

  2. การตรวจสอบที่ไม่ Real-Time: ข้อมูลที่เห็นในระบบมักจะไม่อัปเดตทันที ทำให้ตัดสินใจผิดพลาดในการสั่งซื้อหรือการจัดส่ง

  3. การทำ Physical Inventory ที่ใช้เวลานาน: การหยุดนับสต็อกทั้งคลัง (Annual Stock Count) ทำให้การดำเนินงานหยุดชะงักและใช้ทรัพยากรมาก

ถึงเวลาแล้วที่เราต้องนำ เทคโนโลยี เข้ามาเปลี่ยนเกม!

Mobile Inventory App: กุญแจสู่คลังสินค้าดิจิทัล

Mobile Inventory Application คือคำตอบสำหรับธุรกิจยุคใหม่ เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้พนักงานสามารถจัดการสินค้าคงคลังได้จากทุกที่ในคลังสินค้า ด้วยอุปกรณ์พกพา (เช่น สมาร์ทโฟน หรือ Handheld Scanner) ที่เชื่อมต่อกับระบบหลังบ้าน (WMS/ERP) ได้โดยตรง

มาดูกันว่าเทคโนโลยีนี้ช่วยแก้ปัญหา "สต็อกไม่ตรง" ได้อย่างไร:

1. ความแม่นยำที่เพิ่มขึ้น 10 เท่า ด้วยการสแกน (Barcode & QR Code)

การใช้แอปพลิเคชันบนมือถือที่รองรับการสแกนบาร์โค้ดหรือ QR Code ช่วยให้การระบุสินค้าและการบันทึกจำนวนเป็นไปอย่าง รวดเร็วและแม่นยำ พนักงานไม่จำเป็นต้องพิมพ์รหัสสินค้าหรือจำนวนด้วยตนเองอีกต่อไป ลดความผิดพลาด ในการกรอกข้อมูลได้ทันที

2. ข้อมูล Real-Time ที่พร้อมใช้งานทันที

เมื่อพนักงานสแกนรับเข้า จัดเก็บ หรือเบิกจ่ายสินค้า ข้อมูลจะ ซิงค์เข้าระบบหลังบ้านทันที (Real-Time) ไม่มีการรอ "รอบการป้อนข้อมูล" อีกต่อไป ผู้บริหารสามารถตรวจสอบยอดคงเหลือ สถานะการเคลื่อนไหว และการดำเนินงานต่างๆ ได้อย่างทันท่วงที ทำให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

3. ทำให้ Cycle Count เป็นเรื่องง่าย

แทนที่จะรอตรวจนับทั้งคลังปีละครั้ง (Physical Count) แอปพลิเคชันจะช่วยอำนวยความสะดวกในการทำ Cycle Count (การนับสต็อกหมุนเวียน) ได้ง่ายขึ้น สามารถกำหนดโซน, หมวดหมู่, หรือสินค้าที่ต้องนับในแต่ละวัน/สัปดาห์ได้อย่างเป็นระบบ ทำให้เกิดวินัยในการตรวจสอบสต็อกอย่างสม่ำเสมอ และสามารถแก้ไข "สต็อกคลาดเคลื่อน" ได้ทันทีที่พบ

4. เพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน

พนักงานสามารถทำงานได้อย่างคล่องตัว ไม่ต้องเดินไปกลับระหว่างชั้นวางสินค้ากับโต๊ะคอมพิวเตอร์ การทำงานที่รวดเร็วขึ้นหมายถึง ผลิตภาพ (Productivity) ที่เพิ่มขึ้น และ ลดต้นทุน ที่เกิดจากความผิดพลาดของสต็อกขาด (Stock Out) หรือสต็อกเกิน (Overstock)

ยกระดับทีมของคุณให้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านคลังสินค้าดิจิทัล

การมีเครื่องมือที่ดีเป็นเพียงครึ่งทาง อีกครึ่งทางคือการมี ความรู้และทักษะ ในการนำเครื่องมือเหล่านั้นมาใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

ถ้าคุณกำลังมองหาวิธี 

  • วางแผนการเปลี่ยนผ่านจากระบบ Manual สู่ Digital

  • ออกแบบกระบวนการ Cycle Count ที่ใช้งานได้จริง

  • ใช้งาน Mobile App ให้เต็มศักยภาพเพื่อเพิ่มความแม่นยำและประสิทธิภาพ

  • วิเคราะห์และแก้ไขปัญหา Stock Diff อย่างเป็นระบบ



บริษัท ไรท์เวย์ แมนเนจเมนท์ จำกัด 
 โดยผม อ.มงคล พัชรดำรงกุล ขอเสนอ หลักสูตรฝึกอบรม  "พัฒนา Mobile Application ด้วย AI สำหรับการตรวจนับสินค้า" ที่ออกแบบมาเพื่อติดอาวุธให้ทีมงานของคุณสามารถนำเทคโนโลยี Mobile App มาพลิกโฉมการจัดการคลังสินค้าได้อย่างแท้จริง

🎯 สิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้:

  • หลักการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง
  • การออกแบบระบบการตรวจนับและควบคุมสินค้าคงคลัง
  • แนวคิดการประยุกต์ใช้ AI สร้าง Mobile Application ในการทำงาน
  • เทคนิคการลดเวลาการบันทึกและตรวจสอบ

👉 คลิกเพื่อดูรายละเอียดและลงทะเบียนฝึกอบรม หลักสูตรที่จะช่วยให้คุณลดปัญหา Stock ไม่ตรง และก้าวสู่การเป็นคลังสินค้าที่แม่นยำระดับโลก!

สนใจยกระดับการทำงานให้มีประสิทธิภาพ ติดต่อเราได้ที่ https://rightwayhub.com
สนใจการฝึกอบรมแบบ In-house Training แจ้งความต้องการได้ที่ https://rightwayhub.com/training

วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2565

Inv. EP01 - บริหารคลังสินค้า VS จัดการสินค้าคงคลัง

การดำเนินกิจกรรมการจัดการคลังสินค้า และการบริหารสินค้าคงคลัง ของแต่ละสถานประกอบการ บ่อยครั้งพบว่ามีความสับสนในการกำหนดบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบ และการจัดลำดับความสำคัญของงาน ดังนั้น นักบริหารจัดการสินค้าคงคลัง จำเป็นต้องมีเข้าใจในความแตกต่างระหว่างการจัดการคลังสินค้า (Warehouse Management) และการบริหารสินค้าคงคลัง (Inventory Management) ซึ่งทั้ง 2 กิจกรรมนี้มีความเชื่อมโยงกัน ทั้งนี้มีหลักการหรือแนวคิดอย่างง่ายในการแยกแยะการทำงาน คือ 

1) การจัดการคลังสินค้า (Warehouse Management) จะมุ่งเน้นไปที่กิจกรรมทางกายภาพ (Physical Control) เป็นหลัก ดังนั้น ในทุกครั้งของการจัดการคลังสินค้าจะมีสินค้าหรือของจริงมาเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติ เช่น รับสินค้า จัดเก็บสินค้า หยิบสินค้า จ่ายสินค้า การตรวจนับสินค้า 

2) การจัดการสินค้าคงคลัง (Inventory Management) จะมุ่งเน้นไปที่การจัดการข้อมูล (Information Control) ในการดำเนินงานจึงไม่จำเป็นต้องเห็นตัวสินค้า แต่จำเป็นต้องใช้ข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำเป็นหลัก เช่น การแบ่งกลุ่มสินค้า การกำหนดจุดสั่งซื้อ ระดับสินค้าคงคลังปลอดภัย ปริมาณและช่วงเวลาในการเติมเต็มสินค้า ที่เหมาะสม เป็นต้น ดังนั้น นักบริหารจัดการสินค้าคงคลัง จึงต้องมีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์และจัดการข้อมูล เพื่อกำหนดกลยุทธ์และวิธีการดำเนินงาน 

มงคล พัชรดำรงกุล 
rightway.mgt@gmail.com 

ฟังคลิป VDO ประกอบเรื่องนี้เพิ่มเติมที่ https://youtu.be/QstE3UVAn_I 

สนใจยกระดับการทำงานให้มีประสิทธิภาพ ติดต่อเราได้ที่ https://rightwayhub.com
สนใจการฝึกอบรมแบบ In-house Training แจ้งความต้องการได้ที่ https://rightwayhub.com/training

4 กลไกขับเคลื่อนคุณภาพแบบ TQM ที่องค์กรธุรกิจของคุณต้องมี!

ในโลกธุรกิจที่การแข่งขันสูงเช่นนี้ "คุณภาพ" ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คือ "ความได้เปรียบที่ยั่งยืน"  เมื่อสัปดาห์ที่แล้วในระ...