วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2568

ผ่ากลยุทธ์ 4 แกน : ยกเครื่อง "สินค้าคงคลัง" สู่ความเป็นเลิศ (ลดต้นทุน เพิ่มกำไรอย่างยั่งยืน)

มาช่วยกันพลิก Inventory จาก "ปัญหา" สู่ "ขุมพลัง" 💡

ในฐานะผู้ดำเนินงานและบริหารจัดการซัพพลายเชน เราทราบดีว่า สินค้าคงคลัง (Inventory) คือ สินทรัพย์หมุนเวียน ที่ถูกจัดเก็บไว้เพื่อตอบลูกค้า แต่มีมากเกินไปก็เงินจม-น้อยเกินไปก็เสี่ยงตอบสนองไม่พอ  การควบคุมและบริหารจัดการที่ผิดพลาดส่งผลต่อกำไรทันที

บทความนี้จึงขอถ่ายทอด 4 แกนหลักเชิงกลยุทธ์ ที่จะทำให้คุณควบคุมสินค้าคงคลังได้อย่างมืออาชีพ "ในทุกๆจุด ทุกประเภทสินค้าคงคลัง " ตามหลักการบริหารจัดการประสิทธิภาพสูงสุด


1. แกนหลักที่ 1: การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์และการจัดกลุ่ม (Strategic Analysis & Inventory Classification)

ประสิทธิภาพเริ่มต้นที่ความเข้าใจใน "ประเภท" และ "มูลค่า" ของสิ่งที่เราถือครองอยู่ ไม่ใช่การจัดการแบบเหมาเข่ง

1.1 ต้องวิเคราะห์หลายมิติ: เครื่องมือที่เหนือกว่า ABC Classification

การพึ่งพาแค่ ABC Analysis (จัดกลุ่มตามมูลค่าการใช้) นั้นไม่เพียงพอต่อการควบคุมความเสี่ยงอย่างรอบด้าน เราต้องใช้การวิเคราะห์หลายมิติ อาทิเช่น:

  • VED Analysis (Vital, Essential, Desirable): ใช้วัด ความสำคัญ เพื่อเป็นเกณฑ์หลักในการกำหนดระดับ Safety Stock (SS)

  • HML Analysis (High, Medium, Low): วิเคราะห์ตาม ราคาต่อหน่วย เพื่อให้ฝ่ายจัดซื้อสามารถควบคุม ต้นทุนจัดซื้อ และกำหนดอำนาจการอนุมัติ

  • SDE Analysis (Scarce, Difficult, Easy): วิเคราะห์ตาม ความยากง่ายในการจัดหา เพื่อวางแผนการสั่งซื้อล่วงหน้าสำหรับสินค้าที่มี Lead Time (LT) ยาวนาน

1.2 โครงการเริ่มต้นที่สร้างผลกระทบสูงสุด (Quick Win Project)

  • ดำเนินการตรวจสอบและ โครงการลด Stock ที่ไม่ใช้งาน (Non-Moving Stock) ทันที เพื่อปลดล็อกเงินทุนที่จมอยู่ให้กลับมาหมุนเวียน


2. แกนหลักที่ 2: การควบคุมพื้นที่ปฏิบัติการและ WIP (WIP & Operation Control)

ความสูญเปล่าที่ซ่อนอยู่มักเกิดในพื้นที่ปฏิบัติการและสินค้าที่อยู่ระหว่างผลิต (Work In Process)

2.1 กำจัดความสูญเปล่าใน WIP

  • ลด Loss/Damage: โฟกัสที่ โครงการลด WIP และต้นทุน โดยเฉพาะการลดความสูญเสียจากการรอคอย (Waiting) และการขนถ่าย (Handling) ซึ่งเป็นต้นทุนแฝงที่ไม่มีใครอยากจ่าย

  • ใช้ระบบ Pull (KANBAN): เปลี่ยนแนวคิดจากการผลักสินค้าเข้าสู่กระบวนการถัดไป เป็นการใช้ ระบบดึง เพื่อ กำหนดและควบคุมระดับ Stock Level ให้แต่ละขั้นตอนผลิตเฉพาะเมื่อมีความต้องการจริง ๆ เท่านั้น

2.2 ปรับปรุงสภาพแวดล้อมคลังสินค้า

  • Layout Optimization: ดำเนินการ โครงการปรับ Lay-out เพื่อให้การไหลของวัสดุ (Material Flow) เป็นไปอย่างราบรื่น ลดระยะทางการเคลื่อนย้ายและเวลาในการค้นหา (Picking Time)


3. แกนหลักที่ 3: การสั่งซื้อที่แม่นยำและเป็นระบบ (Precision Procurement Strategy)

การจัดซื้อคือจุดที่เงินทุนไหลออกจากบริษัท การควบคุมจุดนี้อย่างเข้มงวดจึงสำคัญที่สุด

3.1 การพยากรณ์ คือ รากฐานความสำเร็จ

  • Forecasting Accuracy: พัฒนาตัวแบบที่เหมาะสมสำหรับ การเพิ่มความแม่นยำของการประมาณความต้องการ ข้อมูลที่แม่นยำจะนำไปสู่การคำนวณ ROP (จุดสั่งซื้อ) และ Q (ปริมาณการสั่งซื้อ) ที่ถูกต้อง

3.2 จัดการตัวแปรสำคัญในการสั่งซื้อ

เราต้องควบคุมปัจจัยสำคัญทั้งหมดในการสั่งซื้อ:

  • ลด Lead Time (LT): ดำเนินการ โครงการลดระยะเวลาในการจัดซื้อ/จัดหา/ตรวจสอบ เพราะ LT ที่สั้นลงหมายถึงความจำเป็นในการเก็บ Safety Stock ที่ลดลง

  • กำหนดปริมาณสั่งซื้อ (Q): ใช้หลักการ EOQ (Economic Order Quantity) เพื่อหาปริมาณที่สมดุลระหว่างต้นทุนการสั่งซื้อและต้นทุนการเก็บรักษา หรือพัฒนาตัวแบบการกำหนดการสั่งซื้อที่เหมาะสม ที่ไม่ได้พิจารณาแค่ต้นทุนสั่งซื้อและต้นทุนการเก็บ และถูกจริตกับองค์กรของคน

  • บริหารความเสี่ยงซัพพลายเออร์: กำหนดให้มีการวัดผลและพัฒนาด้วย โครงการเพิ่มความน่าเชื่อถือด้วย S-DIFOT (Supplier Delivery In Full On Time)


4. แกนหลักที่ 4: การติดตามผลและการขับเคลื่อนด้วย KPI (Tracking & KPI Governance)

กลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมต้องได้รับการวัดผลและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

4.1 พัฒนาระบบรับ-จ่าย

  • บูรณาการระบบ: พิจารณาการพัฒนาระบบรับ-จ่ายที่ทันสมัย เช่น JIT, Cross Dock, VMI (Vendor Managed Inventory) หรือ Consignment เพื่อลดภาระการถือครองสินค้าในคลังขององค์กรให้น้อยที่สุด

4.2 ตัวชี้วัดที่ต้องติดตาม

กำหนด ตัวชี้วัดผลงานหลัก (Key KPIs) ที่สะท้อนประสิทธิภาพของระบบ Inventory Management:

  • อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงคลัง (Inventory Turnover): วัดความเร็วในการขายสินค้า

  • ความแม่นยำของการนับสต็อก (Stock Accuracy): วัดความน่าเชื่อถือของข้อมูลในระบบ

  • อัตราสินค้าขาดสต็อก (Stock Out Rate): วัดความเสี่ยงและโอกาสที่เสียไปในการขาย

การควบคุม Inventory คือการควบคุมอนาคต

การควบคุมสินค้าคงคลังใน 4 แกนหลัก นี้อย่างมีประสิทธิภาพ จะเปลี่ยนภาพลักษณ์ขององค์กรคุณให้เป็นผู้นำด้านการจัดการต้นทุนและความยืดหยุ่น นี่คือ ความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ ที่ไม่มีใครสามารถลอกเลียนแบบได้

🎯 พร้อมที่จะยกระดับทีมงานของคุณสู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน Inventory Management แล้วหรือยัง?

ติดต่อเราเพื่อปรึกษาหรือขอรายละเอียดหลักสูตร In-House Training ที่ปรับเนื้อหาตามบริบทธุรกิจของคุณโดยเฉพาะ

โทร: 081-8476479 | LINE ID: naitakeab | Email: rightway.mgt@gmail.com
เรียนรู้เพิ่มเติม: https://rightwayhub.com

วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2568

"สถาปนิก AI" ผู้ออกแบบและควบคุมย่อมเหนือกว่าผู้ใช้งาน

เมื่อ AI คือเครื่องมือ...ใครคือสถาปนิก?

ในยุคที่ AI เข้าถึงง่าย ใครๆ ก็ใช้ ChatGPT หรือ Gemini ได้อย่างรวดเร็ว การแข่งขันจึงไม่ได้อยู่ที่เครื่องมือ แต่อยู่ที่ฝีมือของผู้ออกแบบระบบ

เราได้ข้อสรุปที่ชัดเจนแล้วว่า AI เป็นเพียง เครื่องมือ (Tool) ที่ทรงพลังอย่างยิ่ง แต่ขาด เจตนา และ ความเชี่ยวชาญ ในตัวมันเอง

ความได้เปรียบที่แท้จริงจึงตกอยู่กับ "สถาปนิก AI" – ผู้ที่สามารถ ถ่ายทอดความเชี่ยวชาญและข้อมูลลับ ของตนเองไปสู่ระบบ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย บทความนี้จะแสดง 3 ขั้นตอนสำคัญในการเปลี่ยนจากผู้ใช้ไปสู่การเป็นสถาปนิก AI

ขั้นตอนที่ 1: ใช้ AI เป็นผู้ช่วยจัดการงานน่าเบื่อ (The AI Sidekick)

นี่คือก้าวแรกที่ทุกคนต้องเริ่ม ใช้ AI สำเร็จรูป เพื่อกำจัดงานซ้ำซากออกไปจากชีวิต

  • สิ่งที่ AI ทำแทนคุณ: สรุปเอกสารยาวๆ, ร่างอีเมล, ช่วยเขียนโค้ด Python/SQL เบื้องต้นสำหรับการจัดเตรียมข้อมูล

  • ทักษะที่จำเป็น: Prompt Engineering พื้นฐาน – คุณต้องสั่งงานได้ชัดเจนและรู้ขีดจำกัดของ AI เพื่อให้คุณมีเวลาไปใช้สมองกับ การตีความ Insight

  • แก่น: ถ้าคุณไม่ใช้ AI ในการทำงาน คุณไม่ได้แข่งกับเพื่อนร่วมงาน แต่คุณกำลังแข่งกับเพื่อนร่วมงานที่มี AI ช่วยอยู่ข้างๆ

ขั้นตอนที่ 2: เป็นผู้พัฒนา AI โดยการสร้าง 'ห้องสมุดความเชี่ยวชาญ' (The Strategic Leap)

นี่คือหัวใจของการแข่งขัน: การสร้างระบบ RAG (Retrieval-Augmented Generation) เพื่อถ่ายทอดความรู้ลับเฉพาะองค์กรไปสู่ AI โดยมีบทบาท และ Action ดังนี้

  • ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา: สร้าง 'ตำราลับ': ต้องรู้ว่าข้อมูลลับ (แผนกลยุทธ์, รายงานคู่แข่ง, ข้อมูลต้นทุน) อยู่ที่ไหน และใช้ Python/Data Engineering จัดโครงสร้างเพื่อเก็บใน Vector Database

  • ผู้ควบคุมระบบ: เขียนโค้ดเชื่อมต่อ: ใช้ Frameworks อย่าง LangChain เพื่อเป็น "ตัวควบคุม" ให้ AI อ่านข้อมูลจากห้องสมุดส่วนตัวนี้ก่อนตอบคำถามเสมอ

  • ผู้กำหนดบทบาท: ใช้ Prompt Engineering ขั้นสูง เพื่อกำหนดให้ AI สวมบทบาทเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ที่เข้าใจเงื่อนไขและข้อจำกัดภายในของบริษัทคุณเท่านั้น

โดยทักษะที่จำเป็น: Python Programming (สำคัญที่สุด), Data Engineering, และ Vector Database Management

แก่น: AI ที่เก่งที่สุดคือ AI ที่รู้ความลับของคุณที่สุด การเขียนโค้ดคือ ตัวควบคุม ที่ทำให้คุณสร้างระบบ AI ที่มี ฐานความรู้เฉพาะตัว ที่ใครก็ลอกเลียนแบบไม่ได้

ขั้นตอนที่ 3: สร้างรั้วกั้นข้อมูล 'ป้อมปราการ AI' (The Security Foundation)

นี่คือการสร้าง โครงสร้างความปลอดภัย ที่ควบคุมการเข้าถึงข้อมูลทั้งหมด ซึ่งจำเป็นต้องใช้ทักษะและโค้ดในการตั้งค่าระบบ

A. การควบคุมการไหลของข้อมูล

  • เลิกใช้ช่องทางสาธารณะ: ห้ามป้อนข้อมูลลับผ่าน Chatbot ทั่วไป แต่ต้องใช้ Enterprise APIs (เช่น Gemini API) ที่มีสัญญารับประกัน ไม่นำข้อมูลไปฝึกฝนโมเดล

  • เก็บข้อมูลไว้ในบ้าน: ตำราลับ (Vector Database) และระบบ RAG ทั้งหมดต้องติดตั้งอยู่ใน Private Cloud (VPC) หรือ Server ภายในขององค์กร เท่านั้น

B. ทักษะและโค้ดเพื่อควบคุมความปลอดภัย

  • Cloud Security & Networking: ทักษะในการตั้งค่า Firewall และควบคุม Traffic ทั้งหมด เพื่อให้แน่ใจว่าการสื่อสารระหว่างองค์กรกับ LLM API เป็นไปอย่างปลอดภัย

  • API Management & IAM: ต้องเขียนโค้ด หรือใช้เครื่องมือเพื่อจัดการสิทธิ์การเข้าถึง (IAM) เพื่อให้มีเพียงระบบที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่ส่งข้อมูลลับเข้าสู่ระบบ AI ได้

ทักษะที่จำเป็น: Cloud Security, API Management, และ Data Governance

แก่น: การลงทุนในทักษะเหล่านี้คือการลงทุนใน ความสามารถในการควบคุม และ ความมั่นใจด้านความปลอดภัย ที่จะทำให้ AI ของคุณทรงพลังโดยไม่สร้างความเสี่ยง

บทสรุป: AI คือตัวขยายความเชี่ยวชาญ ไม่ใช่ผู้สร้าง

AI เป็นเพียง ตัวขยาย (Amplifier) ความเชี่ยวชาญของมนุษย์ ยิ่งสถาปนิก AI มีความเชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเท่าไหร่ ความสามารถในการออกแบบระบบและกำหนดบทบาทให้ AI ก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น

โดยสรุปแล้ว การยกระดับสู่ "สถาปนิก AI" และการสร้าง Insight Value จากข้อมูลองค์กรได้อย่างปลอดภัยนั้น จำเป็นต้องเขียนโค้ดเป็น เพื่อใช้ ควบคุม การไหลของข้อมูล การเข้าถึง AI และการสร้างระบบรักษาความปลอดภัย

'สถาปนิก AI' ผู้ออกแบบและควบคุมย่อมเหนือกว่าผู้ใช้งาน เพราะเขาคือผู้สร้างอาวุธลับที่ทรงพลังและไว้ใจได้

คุณพร้อมที่จะยกระดับความเชี่ยวชาญของคุณไปสู่การเป็นสถาปนิก AI แล้วหรือยัง?

มงคล พัชรดำรงกุล
วิทยากรที่ปรึกษาธุรกิจ, บริษัท ไรท์เวย์ แมนเนจเมนท์จำกัด

สนใจยกระดับการทำงานให้มีประสิทธิภาพ ติดต่อเราได้ที่ https://rightwayhub.com
สนใจการฝึกอบรมแบบ In-house Training แจ้งความต้องการได้ที่ https://rwm-inhouse.netlify.app

วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2568

ปลดล็อกศักยภาพการผลิต: OEE Digital Expert กุญแจสู่โรงงานอัจฉริยะใน 3 วัน!

ในโลกธุรกิจที่การแข่งขันสูงขึ้นทุกวัน ประสิทธิภาพการผลิต (Productivity) คือเส้นแบ่งระหว่างผู้นำและผู้ตาม องค์กรของคุณกำลังมองหาวิธี "เปลี่ยนเครื่องจักรที่ผลิตสินค้า" ให้กลายเป็น "เครื่องจักรผลิตเงิน" อยู่ใช่หรือไม่? คำตอบอยู่ที่การประยุกต์ใช้ OEE (Overall Equipment Effectiveness) ร่วมกับ Digital Technology อย่างชาญฉลาด!

วันพุธที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2568

หยุดเลือดไหล! กับกลยุทธ์ Lean Logistics เพื่อเพิ่มกำไรให้ธุรกิจ

ทำไมต้นทุนโลจิสติกส์ของคุณถึงพุ่งสูงขึ้น?

ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจรุนแรงและต้นทุนผันผวน "ต้นทุนโลจิสติกส์" ได้กลายเป็นหนึ่งในค่าใช้จ่ายหลักที่กัดกินกำไรขององค์กรอย่างเงียบๆ ผู้บริหารหลายท่านอาจมองเห็นแค่ค่าขนส่ง ค่าเช่าคลังสินค้า ค่าจัดเก็บสินค้าคงคลัง หรือค่าแรงงาน แต่ความจริงคือยังมี "ความสูญเปล่า" (Waste หรือ Muda ตามหลักการ Lean) ที่ซ่อนตัวอยู่ในทุกขั้นตอนของกระบวนการ

ความสูญเปล่าเหล่านี้ไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าหรือบริการเลย แต่มันกลับทำให้คุณต้องจ่ายเงินมากขึ้น เสียเวลามากขึ้น และทำให้ลูกค้าได้รับสินค้าช้าลง

ถึงเวลาแล้วที่จะใช้หลักการ Lean Logistics ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วทั่วโลก เพื่อเปลี่ยน 'ค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น' ให้กลายเป็น 'กำไร' ที่ยั่งยืน

8 ความสูญเปล่า (Wastes) ตัวการสำคัญที่ต้องรีบกำจัด

ตามแนวคิด Lean ในงานโลจิสติกส์ ความสูญเปล่าที่ต้องค้นหาและกำจัดให้หมดไป มีดังนี้:

  1. D - Defect (ของเสีย/ข้อผิดพลาด): การส่งสินค้าผิดรุ่น ผิดจำนวน หรือสินค้าชำรุดจากการขนย้ายที่ไม่ได้มาตรฐาน

  2. O - Overproduction (ผลิต/จัดเตรียมมากเกินไป): การจัดเตรียมพื้นที่หรือบรรจุหีบห่อที่เกินความจำเป็น หรือการสั่งซื้อวัตถุดิบเกินความต้องการ

  3. W - Waiting (การรอคอย): การที่รถขนส่งต้องรอโหลด/อันโหลด, พนักงานรอเอกสาร, หรือสินค้ารอการจัดเก็บ

  4. N - Non-Utilized Talent (ไม่ได้ใช้ทักษะของพนักงาน): การที่พนักงานที่มีความคิดดีๆ ไม่ได้รับโอกาสในการนำเสนอไอเดียปรับปรุงงาน (Kaizen)

  5. T - Transportation (การขนส่งที่ไม่จำเป็น): การเคลื่อนย้ายสินค้าระหว่างคลัง หรือการขนส่งหลายเที่ยวในเส้นทางเดียวกันโดยไม่รวมของ

  6. I - Inventory (สินค้าคงคลังเกินจำเป็น): สต็อกที่มากเกินไป ซึ่งเป็นต้นทุนในการเก็บรักษา และมีความเสี่ยงต่อการล้าสมัยหรือเสียหาย

  7. M - Motion (การเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็น): การเดินหาสินค้าในคลังที่ใช้เวลานาน, การจัดเรียงที่ไม่สะดวกต่อการหยิบ, หรือการทำงานที่ต้องเอื้อม/ก้มมากเกินไป

  8. E - Excess Processing (กระบวนการที่เกินความจำเป็น): การตรวจสอบซ้ำซ้อน, การบรรจุหีบห่อที่ซับซ้อนเกินไป, หรือการทำรายงานที่ไม่สร้างมูลค่า

การมองเห็นความสูญเปล่าเหล่านี้คือจุดเริ่มต้นของการลดต้นทุนอย่างแท้จริง!

Lean Strategies: กุญแจสู่การลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ

เมื่อทราบแล้วว่าความสูญเปล่าคืออะไร ขั้นตอนต่อไปคือการนำกลยุทธ์ Lean Logistics มาใช้ในการแก้ไข:

  • 1. การใช้ Value Stream Mapping (VSM): เครื่องมือสำคัญในการ "วาด" แผนผังกระบวนการทั้งหมด เพื่อระบุว่ากิจกรรมใดสร้างมูลค่า (Value-Added) และกิจกรรมใดเป็นความสูญเปล่าที่ต้องกำจัด

  • 2. Just-in-Time (JIT), Pull System และ VMI: ปรับปรุงการจัดการสินค้าคงคลังให้มีการส่งมอบวัตถุดิบหรือสินค้าสำเร็จรูป "ทันเวลาพอดี" ตามความต้องการจริง เพื่อลดระดับสต็อกส่วนเกินในคลัง

  • 3. Route & Load Optimization: ใช้เทคโนโลยีในการวางแผนเส้นทางการขนส่งให้มีประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงการรวมสินค้าในรถ (Load Consolidation) และการใช้ประโยชน์จากการวิ่งรถเที่ยวเปล่า (Back Haul)

  • 4. Warehouse Layout & Automation: ออกแบบผังคลังสินค้าใหม่เพื่อลดระยะทางการเดินหาสินค้า (Picking Distance), ใช้พื้นที่จัดเก็บในแนวตั้งให้มากขึ้น, และพิจารณาการใช้ระบบอัตโนมัติ (Automation) ในจุดที่เกิดความสูญเปล่าซ้ำๆ

ถึงเวลาลงมือทำ: พัฒนาบุคลากรให้เป็น "นักลดต้นทุน"

การเปลี่ยนผ่านองค์กรสู่ระบบ Lean Logistics ที่มีประสิทธิภาพและลดต้นทุนได้อย่างยั่งยืนนั้น ไม่สามารถทำได้ด้วยการอ่านบทความเพียงอย่างเดียว แต่ต้องการความเข้าใจในหลักการอย่างลึกซึ้ง การฝึกฝนเครื่องมือ และเทคนิคการนำไปประยุกต์ใช้จริงให้เหมาะกับบริบทของธุรกิจคุณ

บริษัท ไรท์เวย์ แมนเนจมนท์ จำกัด  ซึ่งดำเนินธุรกิจให้คำปรึกษาและฝึกอบรมบุคลากร ให้กับสถานประกอบการที่หลากหลาย พร้อมกรณีศึกษาที่มากมายให้ ภายใต้แนวคิด "Solution is our action" ขอเชิญผู้บริหาร ผู้จัดการ หัวหน้างาน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในสายงานโลจิสติกส์เข้าร่วมหลักสูตร:

หลักสูตร: เทคนิคการลดต้นทุนและความสูญเปล่าในกระบวนการทำงานโลจิสติกส์ (Waste and Cost Reduction Techniques in Logistics)

ในหลักสูตรนี้ คุณจะได้:

  • เรียนรู้การวิเคราะห์โครงสร้างต้นทุนโลจิสติกส์อย่างละเอียด

  • ฝึกใช้เครื่องมือ Lean ระบุประเด็นปัญหาที่ต้องปรับปรุงด้วย VSM 

  • ค้นพบกลยุทธ์การลดต้นทุนในทุกมิติ ทั้งการจัดซื้อ คลังสินค้า และการขนส่ง และกิจกรรมต่างๆ ทั้ง 9 กิจกรรมโลจิสติกส์

  • การทำ Workshop เพื่อนำความรู้ไปใช้ในการสร้างแผนการลดต้นทุนสำหรับองค์กรของคุณได้ทันที

อย่าปล่อยให้ "ความสูญเปล่า" กัดกินกำไรของคุณอีกต่อไป!


สนใจ คลิกเพื่อดูรายละเอียดหลักสูตรและลงทะเบียนได้ที่: https://rwm-inhouse.netlify.app 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม LINE ID : naitakeab, Email : rightway.mgt@gmail

วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2568

จบปัญหา "สต็อกไม่ตรง"! พลิกโฉมคลังสินค้าให้แม่นยำ 100% ด้วย Mobile Inventory App

ความจริงที่เจ็บปวดของการบริหารสินค้าคงคลัง

ในโลกธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง สินค้าคงคลัง (Inventory) ไม่ได้เป็นเพียงแค่ "ของที่เก็บไว้" แต่เป็นหัวใจสำคัญที่กำหนดกระแสเงินสดและผลกำไรของบริษัท ความแม่นยำของสต็อกคือสิ่งสำคัญที่สุด แต่ทำไมปัญหา "สต็อกคลาดเคลื่อน (Stock Difference)" หรือสต็อกไม่ตรงกับในระบบถึงยังคงเป็นฝันร้ายที่ผู้จัดการคลังสินค้าต้องเผชิญอยู่เสมอ?

สาเหตุหลักมักมาจากกระบวนการทำงานแบบเดิมๆ:

  1. การนับสต็อกด้วยมือ (Manual Counting): การจดบันทึกบนกระดาษและป้อนข้อมูลเข้าสู่ระบบภายหลัง เสี่ยงต่อความผิดพลาดของมนุษย์ (Human Error) สูงมาก

  2. การตรวจสอบที่ไม่ Real-Time: ข้อมูลที่เห็นในระบบมักจะไม่อัปเดตทันที ทำให้ตัดสินใจผิดพลาดในการสั่งซื้อหรือการจัดส่ง

  3. การทำ Physical Inventory ที่ใช้เวลานาน: การหยุดนับสต็อกทั้งคลัง (Annual Stock Count) ทำให้การดำเนินงานหยุดชะงักและใช้ทรัพยากรมาก

ถึงเวลาแล้วที่เราต้องนำ เทคโนโลยี เข้ามาเปลี่ยนเกม!

Mobile Inventory App: กุญแจสู่คลังสินค้าดิจิทัล

Mobile Inventory Application คือคำตอบสำหรับธุรกิจยุคใหม่ เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้พนักงานสามารถจัดการสินค้าคงคลังได้จากทุกที่ในคลังสินค้า ด้วยอุปกรณ์พกพา (เช่น สมาร์ทโฟน หรือ Handheld Scanner) ที่เชื่อมต่อกับระบบหลังบ้าน (WMS/ERP) ได้โดยตรง

มาดูกันว่าเทคโนโลยีนี้ช่วยแก้ปัญหา "สต็อกไม่ตรง" ได้อย่างไร:

1. ความแม่นยำที่เพิ่มขึ้น 10 เท่า ด้วยการสแกน (Barcode & QR Code)

การใช้แอปพลิเคชันบนมือถือที่รองรับการสแกนบาร์โค้ดหรือ QR Code ช่วยให้การระบุสินค้าและการบันทึกจำนวนเป็นไปอย่าง รวดเร็วและแม่นยำ พนักงานไม่จำเป็นต้องพิมพ์รหัสสินค้าหรือจำนวนด้วยตนเองอีกต่อไป ลดความผิดพลาด ในการกรอกข้อมูลได้ทันที

2. ข้อมูล Real-Time ที่พร้อมใช้งานทันที

เมื่อพนักงานสแกนรับเข้า จัดเก็บ หรือเบิกจ่ายสินค้า ข้อมูลจะ ซิงค์เข้าระบบหลังบ้านทันที (Real-Time) ไม่มีการรอ "รอบการป้อนข้อมูล" อีกต่อไป ผู้บริหารสามารถตรวจสอบยอดคงเหลือ สถานะการเคลื่อนไหว และการดำเนินงานต่างๆ ได้อย่างทันท่วงที ทำให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

3. ทำให้ Cycle Count เป็นเรื่องง่าย

แทนที่จะรอตรวจนับทั้งคลังปีละครั้ง (Physical Count) แอปพลิเคชันจะช่วยอำนวยความสะดวกในการทำ Cycle Count (การนับสต็อกหมุนเวียน) ได้ง่ายขึ้น สามารถกำหนดโซน, หมวดหมู่, หรือสินค้าที่ต้องนับในแต่ละวัน/สัปดาห์ได้อย่างเป็นระบบ ทำให้เกิดวินัยในการตรวจสอบสต็อกอย่างสม่ำเสมอ และสามารถแก้ไข "สต็อกคลาดเคลื่อน" ได้ทันทีที่พบ

4. เพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน

พนักงานสามารถทำงานได้อย่างคล่องตัว ไม่ต้องเดินไปกลับระหว่างชั้นวางสินค้ากับโต๊ะคอมพิวเตอร์ การทำงานที่รวดเร็วขึ้นหมายถึง ผลิตภาพ (Productivity) ที่เพิ่มขึ้น และ ลดต้นทุน ที่เกิดจากความผิดพลาดของสต็อกขาด (Stock Out) หรือสต็อกเกิน (Overstock)

ยกระดับทีมของคุณให้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านคลังสินค้าดิจิทัล

การมีเครื่องมือที่ดีเป็นเพียงครึ่งทาง อีกครึ่งทางคือการมี ความรู้และทักษะ ในการนำเครื่องมือเหล่านั้นมาใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

ถ้าคุณกำลังมองหาวิธี 

  • วางแผนการเปลี่ยนผ่านจากระบบ Manual สู่ Digital

  • ออกแบบกระบวนการ Cycle Count ที่ใช้งานได้จริง

  • ใช้งาน Mobile App ให้เต็มศักยภาพเพื่อเพิ่มความแม่นยำและประสิทธิภาพ

  • วิเคราะห์และแก้ไขปัญหา Stock Diff อย่างเป็นระบบ



บริษัท ไรท์เวย์ แมนเนจเมนท์ จำกัด 
 โดยผม อ.มงคล พัชรดำรงกุล ขอเสนอ หลักสูตรฝึกอบรม  "พัฒนา Mobile Application ด้วย AI สำหรับการตรวจนับสินค้า" ที่ออกแบบมาเพื่อติดอาวุธให้ทีมงานของคุณสามารถนำเทคโนโลยี Mobile App มาพลิกโฉมการจัดการคลังสินค้าได้อย่างแท้จริง

🎯 สิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้:

  • หลักการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง
  • การออกแบบระบบการตรวจนับและควบคุมสินค้าคงคลัง
  • แนวคิดการประยุกต์ใช้ AI สร้าง Mobile Application ในการทำงาน
  • เทคนิคการลดเวลาการบันทึกและตรวจสอบ

👉 คลิกเพื่อดูรายละเอียดและลงทะเบียนฝึกอบรม หลักสูตรที่จะช่วยให้คุณลดปัญหา Stock ไม่ตรง และก้าวสู่การเป็นคลังสินค้าที่แม่นยำระดับโลก!

วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2565

Inv. EP01 - บริหารคลังสินค้า VS จัดการสินค้าคงคลัง

การดำเนินกิจกรรมการจัดการคลังสินค้า และการบริหารสินค้าคงคลัง ของแต่ละสถานประกอบการ บ่อยครั้งพบว่ามีความสับสนในการกำหนดบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบ และการจัดลำดับความสำคัญของงาน ดังนั้น นักบริหารจัดการสินค้าคงคลัง จำเป็นต้องมีเข้าใจในความแตกต่างระหว่างการจัดการคลังสินค้า (Warehouse Management) และการบริหารสินค้าคงคลัง (Inventory Management) ซึ่งทั้ง 2 กิจกรรมนี้มีความเชื่อมโยงกัน ทั้งนี้มีหลักการหรือแนวคิดอย่างง่ายในการแยกแยะการทำงาน คือ 

1) การจัดการคลังสินค้า (Warehouse Management) จะมุ่งเน้นไปที่กิจกรรมทางกายภาพ (Physical Control) เป็นหลัก ดังนั้น ในทุกครั้งของการจัดการคลังสินค้าจะมีสินค้าหรือของจริงมาเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติ เช่น รับสินค้า จัดเก็บสินค้า หยิบสินค้า จ่ายสินค้า การตรวจนับสินค้า 

2) การจัดการสินค้าคงคลัง (Inventory Management) จะมุ่งเน้นไปที่การจัดการข้อมูล (Information Control) ในการดำเนินงานจึงไม่จำเป็นต้องเห็นตัวสินค้า แต่จำเป็นต้องใช้ข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำเป็นหลัก เช่น การแบ่งกลุ่มสินค้า การกำหนดจุดสั่งซื้อ ระดับสินค้าคงคลังปลอดภัย ปริมาณและช่วงเวลาในการเติมเต็มสินค้า ที่เหมาะสม เป็นต้น ดังนั้น นักบริหารจัดการสินค้าคงคลัง จึงต้องมีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์และจัดการข้อมูล เพื่อกำหนดกลยุทธ์และวิธีการดำเนินงาน 

มงคล พัชรดำรงกุล 
rightway.mgt@gmail.com 

ฟังคลิป VDO ประกอบเรื่องนี้เพิ่มเติมที่ https://youtu.be/QstE3UVAn_I 
สนใจฝึกอบรม Upskill คลิก https://forms.gle/rzhhzGsp4TQfND7R9

วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2565

9P CANVAS ตัวช่วยสำคัญในการระบาย Stock และการตลาดเชิงรุก

การจัดการที่ผิดพลาด เกิด Stock บวม ทุกคนก็จะมุ่งเป้าไปที่ฝ่ายขาย ให้ช่วยระบายสินค้าให้หน่อย และแน่นอนการบอกแค่ความต้องการ แต่ไม่ได้ให้เครื่องมือช่วย โอกาสที่จะสำเร็จมันน้อย และดูจะฝากภาระไว้กับฝ่ายขายมากไป

และนี้คือที่มา ที่ผมต้องออกพัฒนา Template ขึ้นมาช่วยในการดำเนินการเรื่องนี้ ภายใต้แนวคิดทางการตลาด 9P ทั้งนี้เพราะ "การระบาย Stock และการขาย สุดท้ายคือเรื่องเดียวกัน"

ภายใต้องค์ประกอบของ #9P คือ
การทบทวนและพิจารณาในแต่ละ P ว่า As is ที่เป็น ของการจัดการสินค้านั้นๆ คุณทำอย่างไร
แล้วมันเหมาะสมเพียงพอไหม หากไม่ใช่ To be ที่ควรจะเป็นต้องทำอย่างไร

P1-Price
ราคาที่ตลาดหรือลูกค้าต้องการ

P2-Place
ช่องทางในการจัดจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพ

P3-Promotion
ช่องทางในการสื่อสารและการส่งเสริมการขายที่มีประสิทธิภาพ

P4-People
บุคคลที่จะช่วยหรือมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจในการซื้อ

P5-Product
คุณลักษณะเด่นด้านผลิตภัณฑ์ที่ต้องมีและเป็นที่ต้องการของลูกค้า

P6-Process
กระบวนการหรือระบบในการประสานงานจัดการและจัดส่งสินค้า

P7-Partner
องค์กรหรือกิจการที่ช่วยหรือมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อ

P8-Physical Environment
สภาพแวดล้อมในการดำเนินการที่ช่วยกระตุ้นความต้องการซื้อ

P9-Positioning
ตำแหน่งของผลิตภัณฑ์ที่ใช่สื่อสารและสร้างการรับรู้ให้ลูกค้า


และแน่นอนนอกจากช่วยระบาย Stock ได้แล้ว ยังใช้งานได้ดี กับการทำตลาดเชิงรุก

ส่วนใครอยากรู้ภาคปฏิบัติจริงทำไง ได้ผลจริงเปล่า คงต้องหลังไมค์คุยกันแล้วล่ะ

มงคล  พัชรดำรงกุล
วิทยากร/ที่ปรึกษา/ผู้เชี่ยวชาญการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน และการเพิ่ม Productivity องค์กร  
LineID : naitakeab, Tel 081-8476479

วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

ILPi - 9 ตัวชี้วัดประสิทธิภาพการจัดการโลจิสติกส์อุตสาหกรรม

ILPi - Industrial Logistics Performance Index หรือตัวชี้วัดประสิทธิภาพการจัดการโลจิสติกส์อุตสาหกรรม คือ กระจกที่ส่องความมีประสิทธิภาพในการจัดการโลจิสติกส์ขององค์กร ประกอบด้วยการวัดผลใน 9 กิจกรรมด้านโลจิสติกส์ และในแต่ละกิจกรรมจะมีการวัด 3 ด้าน คือ ความน่าเชื่อถือ ความรวดเร็ว และต้นทุน

การวัดผลเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงโอกาสในการปรับปรุงงาน และช่วยฝึกฝนให้กิจการได้ให้ความสำคัญกับการบริหารยุคใหม่ ในยุคที่ Data Driven และการทำ Data Analytics สำคัญเป็นอย่างยิ่ง ข้อมูลจะช่วยให้เห็นจุดอ่อนขององค์กรในทุกมิติ ทุกกิจกรรม 

ผมเองได้รับเกียรติจากกองโลจิสติกส์ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ให้ทำหน้าที่ในการนำเสนอทั้ง 9 บทเรียนของ 9 กิจกรรมโลจิสติกส์ เรื่องราวจะเป็นยังไง มีอะไรบ้าง สำคัญอย่างไร จะเก็บข้อมูลได้อย่างไร แล้วจะยกระดับไปสู่การทำงานที่มีประสิทธิภาพ ได้อย่างไรในแต่ละกิจกรรม ไปชมกันได้ครับ   

1. กิจกรรมที่ 1 : การพยากรณ์และการวางแผนความต้องการของลูกค้า


2. กิจกรรมที่ 2 : การให้บริการลูกค้าและกิจกรรมสนับสนุน


3. กิจกรรมที่ 3 : การสื่อสารด้านโลจิสติกส์และการจัดการคำสั่งซื้อ


4. กิจกรรมที่ 4 : การจัดซื้อจัดหา


5. กิจกรรมที่ 5 : การขนถ่ายและการบรรจุหีบห่อ


6. กิจกรรมที่ 6 : การจัดการคลังสินค้า


7. กิจกรรมที่ 7 : การบริหารสินค้าคงคลัง


8. กิจกรรมที่ 8 : การขนส่ง


9. กิจกรรมที่ 9 : โลจิสติกส์ย้อนกลับ



เป็นไงกันบ้าง ฟังทั้ง 9 บทเรียน 9 กิจกรรมไปแล้ว หวังว่าจะเป็นประโยชน์กันนะครับ และถ้าใครอยากพัฒนาปรับปรุงสมรรถนะด้านโลจิสติกส์ของกิจการให้ดีขึ้นๆ ก็ Inbox มาคุยกันเป็นการส่วนตัวได้ครับผม 

มงคล  พัชรดำรงกุล
วิทยากร/ที่ปรึกษา/ผู้เชี่ยวชาญการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน และการเพิ่ม Productivity องค์กร  
LineID : naitakeab, Tel 081-8476479

วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2563

กระจก 3 บาน ส่องแล้วบอกได้ถึงผลงานการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานของกิจการ

ทุกวัน คนเรา ส่องกระจก เพื่อดูว่าสภาพร่างกายของเราดูดี พร้อมก้าวสู่สังคมภายนอกหรือไม่

ทุก 6 เดือน หรือ 10,000 กม. ยานพาหนะคู่กาย จะเข้ารับการตรวจสภาพ ว่าทุกชิ้นส่วนอุปกรณ์ยังดีอยู่ไหม

ทุก 1 ปี ร่างกายต้อง Check Up ดูว่ากลไกการทำงานแบบอัจริยะของสิ่งมีชีวิต ยังปกติ ใช้งานดีหรือไม่

และแน่นอน การบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน ก็ควรมีมาตรวัด เพื่อส่งกระจกบอกผลงานเช่นกัน สำหรับมุมมองของผม ก็อยากเห็นกิจการส่งกระจก 3 บาน อย่างน้อยเดือนละครั้ง เพื่อบ่งบอกผลงานที่ผ่านมา และก้าวย่างที่กำลังจะไปต่อ ว่าใช่สิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ แล้วกระจกทั้ง 3 บาน คืออะไรบ้าง

บานที่ 1 - บอกศักยภาพทางการบริหารที่คุณมี - บอกด้วยศักยภาพการจัดการโลจิสติกส์
บานที่ 2 - บอกประสิทธิภาพที่คุณกำลังเป็น - บอกด้วย ILPI (ตัวชี้วัดประสิทธิภาพการจัดการโลจิสติกส์อุตสาหกรรม)
บานที่ 3 - บอกประสิทธิภาพการทำงานทั้ง Suplly Chain - บอกด้วย SCPI (ตัวชี้วัดการประสิทธิภาพการจัดการโซ่อุปทาน)
ขอบคุณทางกองโลจิสติกส์ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรรม ที่ได้จัดทำคู่มือเหล่านี้ขึ้น เพื่อให้กิจการที่สนใจได้ส่องกระจกตัวเองอย่างสม่ำเสมอ ในแบบฉบับของ Self Assessment เพื่อนำผลที่ได้มาปรับปรุงตัวเองอย่างต่อเนื่อง

คู่มือการประเมินประสิทธิภาพการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน

ใครสนใจก็สามารถเข้าไป Download Soft copy มาใช้ศึกษาและส่งกระจกบอกผลงานตัวเอง สามารถคลิกที่ คู่มือการประเมินประสิทธิภาพ และศักยภาพการจัดการโลจิสติกส์ และซัพพลายเชน หรือภาพได้เลยครับ

ส่วนใครที่ประเมินแล้ว อยากพัฒนาปรับปรุงสมรรถนะด้านโลจิสติกส์ของกิจการให้ดีขึ้นๆ ก็ Inbox มาคุยกันเป็นการส่วนตัวได้ครับผม 

มงคล  พัชรดำรงกุล
วิทยากร/ที่ปรึกษา/ผู้เชี่ยวชาญการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน และการเพิ่ม Productivity องค์กร  
LineID : naitakeab, Tel 081-8476479

วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2563

"ต้นทุน" ลดได้ทุกวัน ในทุกกิจกรรม

เพราะทุก Activities ของการทำงาน แลกมาด้วย Cost แล้วมันใช่ Cost ที่ควรจ่ายหรือยัง?

ระหว่างเตรียมงานบรรยายให้กับหน่วยงานแห่งหนึ่ง ไปเจอเนื้อหา File การสอนในอดีต สมัยเมื่อครั้งเริ่มต้นการเป็นวิทยากรที่ปรึกษา เลยหยิบมาปัดฝุ่นอีกนิดหน่อย น่าจะเข้ากับสถานการณ์ได้ดี และน่าจะเป็นมุมมองสำหรับการเริ่มใส่ใจเรื่องต้นทุนที่มากขึ้นๆ ของหลายๆกิจการนับจากนี้ ยิ่งสถานการณ์ Covid แบบนี้ ความจำเป็นที่ต้องจัดการเรื่องต้นทุนยิ่งทวีคูณ

"ต้นทุนแฝงอยู่ในทุกกิจกรรมที่ท่านทำ" นั่นคือประเด็นแรกที่ท่านต้องคิด 
"ยิ่งมีกิจกรรรมเยอะ ยิ่งทำบ่อย ยิ่งทำช้า ยิ่งทำผิด" ยิ่งทำให้เกิดต้นทุน นี้คือสาเหตุเบื้องต้นที่เราต้องเข้าใจ

ความสามารถในการจัดการต้นทุน ว่ากันแล้ว เป็นหน้าที่ของทุกคน เป็นเรื่องที่ควรทำพร้อมกัน จนเป็นกิจวัตรนิสัย ทั้งนี้ทั้งนั้น อย่ารอจนเกิดสภาพจำใจที่ต้องลดต้นทุนแบบจำยอม ซึ่งเมื่อนั้นอาจจะสายเกินไป 

ภาพ 4 ภาพนี้ น่าจะช่วยหาคำตอบเบื้องต้นให้บ้าง หากมีเวลา แล้วผมจะมาเพิ่มเติมและอธิบายข้อมูลในแต่ละภาพให้ฟังนะครับ 







ดูข้อมูลและบทความที่ผมเขียนเพิ่มเติมได้อีกช่องทางที่ https://www.facebook.com/rightway.mgt/ และ https://naitakeab.wordpress.com/   

มงคล  พัชรดำรงกุล
วิทยากร/ที่ปรึกษา/ผู้เชี่ยวชาญการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน และการเพิ่ม Productivity องค์กร  
LineID : naitakeab, Tel 081-8476479 


ผ่ากลยุทธ์ 4 แกน : ยกเครื่อง "สินค้าคงคลัง" สู่ความเป็นเลิศ (ลดต้นทุน เพิ่มกำไรอย่างยั่งยืน)

มาช่วยกันพลิก Inventory จาก "ปัญหา" สู่ "ขุมพลัง" 💡 ในฐานะผู้ดำเนินงานและบริหารจัดการซัพพลายเชน เราทราบดีว่า สินค้าคงคล...