เมื่อ 22 ธันวาคม 2560 ผมได้รับเชิญจากกองโลจิสติกส์ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ไปบรรยายเรื่อง “Global Supply Chain Management” หลังการบรรยายเสร็จว่าคิดว่าเดี๋ยวจะกลับมาเขียน Blog เรื่องนี้สักหน่อย เพราะเห็นว่าสำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่สนใจองค์ความรู้ด้านการจัดการ Supply Chain, Value Chain รวมทั้งผู้ที่ต้องทำหน้าที่ในการกำหนด Strategy ทั้งในระดับ Micro และ Macro แต่จนแล้วจนรอด ผ่านไปเกือบเดือน เพิ่งมีเวลาได้ลงมือเขียน เพราะต้องใช้ชีวิตส่วนหนึ่งทำมาหาเลี้ยงชีพให้ได้ก่อน 555 เอาล่ะเรามาดูกันว่าทำไมเรื่องนี้สำคัญ และจำเป็นต้องรู้
ก่อนอื่นมันมีคำอยู่ 4 คำเกี่ยวกับ Chain ในโลกของการบริหารจัดการที่ เราจะต้องสร้างความเข้าใจในเชิงบริบทและความสัมพันธ์ก่อนให้ได้ คำ 4 ที่ว่านั้น ก็คือ
- Demand Chain หัวใจคือ บริหารสิ่งที่ลูกค้าต้องการให้เกิดขึ้น
- Supply Chain หัวใจคือ บริหารทรัพยากรเพื่อตอบความความต้องการของลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ
- Value Chain หัวใจคือ การค้นหา พัฒนาผลิตภัณฑ์/บริการเพื่อตอบสนองคุณค่าที่ลูกค้าอยากได้
- Global Value Chain หัวใจ คือ แหล่งใดในโลกนี้ที่ควรทำหน้าที่สร้างแต่ละคุณค่าที่ลูกค้าอยากได้
เรื่องของ Value Chain และ Supply Chain เป็นเรื่องที่กล่าวถึงกันมาก โดยหากกล่าวถึง Value Chain หลายคนก็จะนึกถึงภาพของ Porter’s Value Chain หรือถ้ากล่าวถึง Supply Chin ก็จะนึกถึง SCOR Model แต่สำหรับผมแล้ว ผมไม่ได้ยึดของค่ายใดเป็นตัวตั้ง แต่นำมาบูรณาการใช้ทั้ง 2 ภาพ แล้วสร้างเป็นแผนภาพความสัมพันธ์ให้เชื่อมโยงกัน และเกิดการครอบคลุม Chain ทั้ง 3 คำแรก ดังภาพ
ส่วนเรื่องของ Global Value Chain นั้นเป็นเรื่องของการพิจารณาเรื่องพื้นที่หรือ location ใดในโลกนี้ที่สามารถสร้าง Value ให้กับ Product หรือ Service ที่เหมาะสมที่สุด โดยหลักการของการสร้าง Value ภายใต้ 1 ผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นได้มีผู้เชี่ยวชาญได้จำลองภาพการสร้างคุณค่า (Value Creation) เป็นภาพรอยยิ้ม (Smile Curve) ซึ่งแต่ละจุดภายใต้ Smile Curve มีคุณค่าที่เกิดขึ้นไม่เท่ากัน
จากภาพ Smile Curve จะเห็นได้ว่ากระบวนการที่สร้าง Value (Value Creation/Value Add) ที่สูงสุดส่วนใหญ่จะเป็นงานเกี่ยวการออกแบบและพัฒนา รวมทั้งการตลาดและขาย ดังนั้นอาจกล่าวได้ “ใครที่เป็นผู้ออกแบบและทำหน้าที่ขายสินค้าได้เอง” จะได้ประโยชน์จากมูลค่าของ Product สูงสุด คำถามคือกิจการของเรา ประเทศของเรา ได้ทำหน้าที่นี้ได้เป็นอย่างดีแล้วใช่หรือไหม ???
ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ การผลิต iPhone ได้มีเมื่อการศึกษาและเผยแพร่โดย DUPress.com ให้เห็นถึงมูลค่าที่เกิดขึ้นจากสินค้า Smartphone ประเทศที่ทำหน้าที่ประกอบคือ จีน (ได้ค่าประกอบ 24.63$) ซึ่งสร้าง Value จากวัตถุดิบที่รับมาจากเกาหลี เยอรมันนี ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และอื่นๆ 6.54$ และสินค้าออกจากโรงงานในมูลค่า 194.04$ ในขณะที่ร้านค้าปลีกจำหน่ายในราคา 600$ โดยมีมูลค่าเพิ่มจาก Distribution 90.63$ และอื่นๆอีก 45.95$ (ซึ่งอาจคาดได้ว่าคือมูลค่าที่เจ้าของ Product ได้รับต่อเครื่อง)
จากภาพนี้ถ้าเรามองเป็น Global Value Chain จะค้นพบได้ว่าประเทศไทยเอง หรือผู้ประกอบการในไทยเองไม่ได้เป็น Key หลักในการสร้าง Value ให้กับ Product ชิ้นนี้ ทั้งๆ ที่ในการดำเนินงานจริงมีบริษัทในไทยประมาณ 20 บริษัท ที่ทำหน้าที่ Supply วัตถุดิบ(RM) ให้กับ Product ตัวนี้
เหตุที่เป็นเช่นนั้น เนื่องด้วยยุทธศาสตร์ของโลก (ขออนุญาตใช้คำนี้ เนื่องจากผมมองว่าใกล้เคียงกับสิ่งที่ผมคิดมากสุด) มองว่าประเทศที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ของโลกปัจจุบันมี 3 ประเทศ (อเมริกา จีน เยอรมัน) โดยมีการเปลี่ยนแแปลงไปจากอดีตดังภาพ และน่าเสียดายที่การเปลี่ยนแปลงแต่ละครั้ง ประเทศไทยไม่เคยได้เป็นจุด Core หลัก ในยุทธศาสตร์นั้นๆ โดยเราเป็นแค่ส่วนหนึ่งของการเชื่อมโยงกับจุดยุทธศาสตร์หลักของโลก โดยในปี 2015 เราเชื่อมโยงกับประเทศจีนเป็นหลัก ดังภาพ
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า แนวคิดเรื่องการบริหารคุณค่า (Value Creation) เป็นเรื่องสำคัญและเป็นความจำเป็นสำหรับการบริหารธุรกิจสู่ความยั่งยืน เนื่องจากความเชื่อมโยงกันของกิจกรรมต่างๆ ทั่วโลกผ่านระบบเทคโนโลยีที่พัฒนาและเติบโตขึ้น ทำให้การเคลื่อนย้ายทุน วัตถุดิบและสินค้า สามารถดำเนินการได้โดยง่าย จะพบว่าสินค้าส่วนใหญ่ที่จำหน่ายในตลาดทั่วโลกมาจากวัตถุดิบจากหลายแหล่ง หลายประเทศ แล้วทำการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศนั้น หรือกระจายสินค้าไปทั่วโลก หากจะทำให้เราเติบโตภายใต้ Global Value Chain ได้ เราจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนตัวเรา โดยผลการศึกษาได้ระบุุปัจจัยที่กำหนด Global Value Chain ควรเป็นสิ่งใดบ้าง พิจารณาได้จากภาพ
จากภาพจะเห็นได้ว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อการสร้างคุณค่าเพิ่มในพื้นที่ หรือประเทศใดๆ นั้น มีปัจจัยในการพิจารณาทั้งหมด 7 ปัจจัย คือ
- เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร คือ ความพร้อมของระบบเทคโนโลยีและการสื่อสารในพื้นที่นั้นๆ ว่ามีประสิทธิภาพตอบสนองต่อการดำเนินธุรกิจอย่างไร
- การศึกษา การทดสอบและการฝึกอบรม คือ ระดับความรู้ความสามารถของบุคลากรในพื้นที่ ความพร้อมของหน่วยทดสอบผลิตภัณฑ์หรือการปฏิบัติการต่างๆ ที่เชื่อมโยงกับธุรกิจ ระบบในการฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากร ฝีมือแรงงาน
- NGO และระบบมาตรฐานต่างๆ คือ บทบาทขององค์กรภาคเอกชนที่ทำหน้าที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาเมืองมีส่งเสริมหรือไม่อย่างไร รวมทั้งการให้ความสำคัญต่อมาตรฐานต่างๆ ที่จำเป็น เช่น มาตรฐานแรงงาน มาตรฐานคุณคุณภาพ มาตรฐานความปลอดภัย ฯลฯ
- การค้าและสมาคมวิชาชีพ คือ บทบาทสมาคมการค้า หรือสมาคมวิชาชีพต่างๆ ช่วยสนับสนุนส่งเสริมมากน้อย
- โครงสร้างพื้นฐานและการเงิน คือ สภาพโครงสร้างพื้นฐานและความมั่นคงของระบบการเงิน ค่าจ้าง ภาษี ฯลฯ ของพื้นที่นั้นๆ
- สภาพแวดล้อมที่จำเป็น คือ สภาพแวดล้อมของระบบการดำเนินงานต่างๆ ในพื้นที่นั้นมีส่วนส่งเสริมต่อการดำเนินธุรกิจอย่างไร
- การอำนวยความสะดวกของรัฐ คือ การอำนวยความสะดวก การส่งเสริมของรัฐ กฎระเบียบ เงื่อนไขการปฏิบัติต่างๆ ที่ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจ
ส่วน Supply Chain เน้นการบริหารวัตถุดิบหรือทรัพยากรที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุด และ Demand Chain เน้นการดำเนินที่ตอบสนองความต้องการลูกค้า โดยทั้งหมดจากอยู่ภายใต้ภารกิจเดียวกันคือสร้างคุณค่าที่ลูกค้าต้องการ (Value Chain)
จากทั้งหมดที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าการบริหารจัดการในมิติต่างๆ จะมีความเชื่อมโยงและสัมพันธ์กันหมด ขยายจากวงเล็กๆ จาก Supply Chain, Demand Chain สู่ Value Chain และจาก Value Chain ก็สู่ Global Value Chain
สุดท้ายหากเราไม่เป็นส่วนหนึ่งใน Value Creation ที่เจ้าของ Product กำหนดไว้ เมื่อนั้นประเทศไทยก็จะไม่เป็นที่ต้องการในเกมธุรกิจของโลก หรืออีกทางเลือกที่เราควรทำ คือ ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นผู้ออกแบบและพัฒนา Product เป็นเจ้าของ Product เอง จำหน่ายเอง มุ่งใช้ Resource (Man, Machine, Material) ที่ผลิตและสร้างได้ในประเทศของเรา เมื่อนั้นเราก็จะไปได้ต่อไป
ส่วนสภาพความเป็นจริงเป็นไง ลองสำรวจตัวเอง และสิ่งรอบๆ ตัวเองนะครับว่าเป็นไง แล้วท่านจะเข้าใจ #การจัดการโซ่อุปทาน #ห่วงโซ่คุณค่าของโลก #Global Value Chain
มงคล พัชรดำรงกุล
วิทยากร/ที่ปรึกษา/ผู้เชี่ยวชาญการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน
LineID : naitakeab, Tel 081-847647919 มกราคม 2561
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น